วันเกิด : 31 ธันวาคม ค.ศ. 1926
ไม้กายสิทธิ์ : ไม้ยูว์ แกนขนนกฟินิกส์ ยาว 13 นิ้วครึ่ง
สถานะทางสายเลือด : เลือดผสม
บ้านที่ฮอกวอตส์ : สลิธีริน
ครอบครัว : พ่อเป็นมักเกิ้ล แม่เป็นแม่มด
ความสามารถพิเศษ : ความเชี่ยวชาญในแทบทุกแขนงของศาสตร์มืด
เมโรเพ แม่มดสาวจากครอบครัวก๊อนท์ ตระกูลเลือดบริสุทธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากซัลลาซาร์ สลิธีริน อาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่เก่าซอมซ่อ ณ หมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้น พร้อมกับ มอร์ฟีน พี่ชายและมาร์โวโล่ ก๊อนท์ พ่อของเธอ
มาร์โวโลมักจะโอ้อวดตนเองอยู่ทุกวันว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานสายตรงของสลิธีรินที่บริสุทธิ์ที่สุด และยังมีชีวิตอยู่ เขาคิดว่าตนเองเป็นชนชั้นสูง ทั้งที่ความจริงพวกเขานั้นทั้งยากจน ถูกทอดทิ้งและไร้การศึกษา ยังไม่รวมถึงมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ อันเป็นผลจากการแต่งงานในหมู่เครือญาติจากหลายชั่วรุ่นที่ผ่านมา
เมโรเพ ก๊อนท์ต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ โกโรโกโส พร้อมกับพ่อและพี่ชายที่บ้าคลั่ง แต่ขณะเดียวกันเธอได้แอบตกหลุมรักกับมักเกิ้ลหนุ่ม ลูกชายเจ้าของคฤหาสน์หลังงามในหมู่บ้าน นามว่า ทอม ริดเดิ้ล - แน่นอนว่าเมื่อมาร์โวโลทราบ เขาโกรธมากและพยายามเข้าทำร้ายเธอ สุดท้ายเขาก็ถูกส่งตัวเข้าอัซคาบันพร้อมกับมอร์ฟีน (ซึ่งโดนข้อหาทำร้ายมักเกิ้ลก่อนหน้านี้อยู่แล้ว) เมื่อปราศจากการควบคุมจากพ่อและพี่ชาย จึงทำให้เมโรเพได้พบกับอิสรภาพเป็นครั้งแรกในชีวิต
เมโรเพเริ่มวางแผนที่จะหนีไปจากชีวิตอันสิ้นหวังที่เผชิญอยู่ วันหนึ่งในฤดูร้อนที่ร้อนจัด เมโรเพชักชวนให้ริดเดิ้ลหนุ่มรูปงามซึ่งขี่ม้ามาคนเดียว หยุดแวะพักดื่มน้ำที่บ้านของเธอ ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ชาวหมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้นก็มีเรื่องอื้อฉาวมโหฬารให้นินทากันสนุกปาก เมื่อลูกชายเศรษฐีเจ้าของที่ดิน หนีไปกับเมโรเพลูกสาวคนจรจัด ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วและไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น - จากการคาดเดาของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ เมโรเพน่าจะแอบใส่ยาเสน่ห์ลงไปในน้ำที่ให้ทอม ริดเดิ้ลดื่มในวันนั้น หรือ ไม่ก็เธออาจจะใช้คำสาปสะกดใจล่อลวงเขา - แต่สำหรับดัมเบิลดอร์ เขาค่อนข้างเชื่อว่าเธอใช้ยาเสน่ห์
มาร์โวโลกลับออกมาจากอัซคาบันในอีกไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากนั้น เขาคาดหวังว่าจะพบลูกสาวคอยอยู่ต้อนรับเขาพร้อมกับอาหารร้อนๆ บนโต๊ะ แต่เขากลับพบบ้านที่ฝุ่นจับหนาเป็นนิ้ว พร้อมจดหมายอำลาจากเมโรเพ ที่อธิบายทุกอย่างว่าเธอทำอะไรลงไป - มาร์โวโลตรอมใจกับการกระทำของลูกสาว เขาไม่เคยเอ่ยชื่อเธออีก และแสร้งว่าเธอไม่เคยมีตัวตนบนโลก เขาซึ่งอ่อนแรงมาจากอัซคาบันอยู่แล้วจึงยิ่งอาการทรุดหนักจนถึงแก่ความตายในที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทอม ริดเดิ้ลและเมโรเพ แต่ประมาณสองสามเดือนหลังจากมาร์โวโล่ตาย ทอม ริดเดิ้ลก็กลับมายังลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้น โดยปราศจากภรรยา ข่าวลือปลิวว่อนไปทั่วละแวกบ้านบอกว่าทอมเอาแต่พูดถึงเรื่อง "ถูกตบตา" และ "ถูกหลอกลวง" - เขาคงหมายถึงว่าตนเองนั้นถูกทำให้อยู่ใต้มนตร์สะกด ซึ่งตอนนี้ได้ถูกถอนออกไปแล้ว แต่เขาไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้า ชาวบ้านเลยสรุปความกันไปเองว่า เมโรเพคงโกหกทอม ริดเดิ้ลว่าเธอท้อง เขาเลยยอมแต่งงานกับเธอด้วยเหตุผลนั้น
แต่เมโรเพ ก๊อนท์ก็ตั้งท้องกับทอม ริดเดิ้ลจริง พวกเขาหนีไปแต่งงานและอยู่ด้วยกันเกือบหนึ่งปี ระหว่างที่ตั้งครรภ์นี้เอง เมโรเพผู้ซึ่งรักสามีอย่างดูดดื่ม เริ่มรู้สึกทนไม่ได้ที่ต้องใช้เวทมนตร์เป็นเครื่องพันธนาการเขาเอาไว้กับเธอ เธอจึงตัดสินใจหยุดใช้ยาเสน่ห์ เพราะเธอรักทอมมาก จึงหลงคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนึ้แล้ว เขาคงจะยอมอยู่ต่อเพราะเห็นแก่เธอ หรือไม่ก็คงจะอยู่เพราะเห็นแก่ลูก
แน่นอนว่า เธอคิดผิดมหันต์ทั้งสองเรื่อง...
เมื่อมนตร์ตราถูกถอนออกไปแล้ว ทอม ริดเดิ้ลก็ทิ้งเธออย่างไม่ใยดี เขาเคยไม่กลับมาหาเธออีกเลย ไม่แม้แต่จะเดือดเนื้อร้อนใจที่จะออกค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกของเขา ทอมกลับไปยังลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้น ส่วนเมโรเพถูกทิ้งไว้ตามลำพังในลอนดอน เมื่อปราศจากสามีซึ่งเป็นลูกชายเศรษฐี เงินทองเธอก็ขัดสนจนถึงขั้นวิกฤติ เธออับจนหนทางจนต้องขายสมบัติชิ้นเดียวซึ่งเธอเอาติดตัวมาด้วย นั่นคือ ล็อกเกตทองของซัลลาซาร์ สลิธีริน มรดกตกทอดของตระกูลซึ่งพ่อของเธอหวงแหนเป็นอย่างมาก เมโรเพขายมันที่ร้านบอร์เจนและเบิร์กและได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยเพียงแค่สิบเกลเลียนเท่านั้น
การที่ถูกสามีทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ทำให้เมโรเพยิ่งตรอมใจ เธอหยุดใช้เวทมนตร์ ไม่อยากเป็นแม่มดอีกต่อไป และเป็นไปได้ว่าความหมดอาลัยตายอยากที่กำลังรุมเร้าเธออยู่นี้อาจดึงดูดพลังอำนาจของเธอไปด้วย เมโรเพไม่เพียงแต่จะพยายามยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง เธอไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แม้กระทั่งเพื่อลูกชายที่กำลังจะเกิดมา
วันสิ้นปี ค.ศ. 1926 หิมะกำลังตกหนักและอากาศหนาวเข้ากระดูก เมโรเพ ก๊อนท์ ซึ่งท้องแก่จวนใกล้คลอดเต็มที่ กระเสือกระสนพาตัวเองมาถึงโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่รับเธอเข้ามา จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเมโรเพก็ให้กำเนิดลูกชาย เธอสั่งเสียครั้งสุดท้ายว่าให้ตั้งชื่อเด็กชายว่า ทอม เหมือนกับชื่อพ่อของเขา ส่วนชื่อกลางให้ใช้ชื่อ มาร์โวโล่ ตามชื่อพ่อของเธอ แล้วเมโรเพ ก๊อนท์ก็จบชีวิตอันแสนรันทดลงในคืนนั้นเอง
ทอม ริดเดิ้ล เติบโตขึ้นมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีคนจากตระกูลริดเดิ้ลหรือแม้แต่ญาติฝั่งแม่คนใดมาเยี่ยมเยียนเขาเลย เขาเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ค่อยพูดจา พยาบาลที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เล่าให้ดัมเบิลดอร์ฟังในภายหลังว่า ตอนเป็นทารกเขาแทบจะไม่เคยร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ตลอดเวลากว่าสิบปีในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น ทอมเริ่มรู้ว่าตนเองพิเศษกว่าเด็กคนอื่นๆ นอกจากหน้าตาอันหล่อเหลาเหมือนกับพ่อของเขาแล้ว เขายังพบว่าตนเองสามารถทำให้ของขยับได้โดยไม่ต้องแตะมัน เขาทำให้สัตว์ทำตามคำสั่งได้โดยไม่ต้องฝึก และเขาทำสิ่งเลวร้ายกับคนอื่นๆ ได้หากคนนั้นทำให้เขาไม่พอใจ
แต่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ไม่อาจหาหลักฐานมาเอาผิดเขาได้ แม้จะมีเหตุน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น ซึ่งทอมอยู่เบื้องหลัง เช่น การบังคับให้กระต่ายของบิลลี่ สตับส์ - เพื่อนเด็กกำพร้าของเขา - แขวนคอตัวเองกับขื่อไม้ รวมไปถึงการข่มขู่เอมมี่ เบนสันและเดนนิส บิชอบ ขณะไปร่วมกิจกรรมทัศนศึกษาของโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถ้ำริมทะเลแห่งหนึ่ง แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเด็กสองคนนั้นเจออะไร แต่พยาบาลที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าก็มั่นใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
เมื่อทอมทำให้เด็กคนอื่นๆ หวาดกลัว จึงยิ่งทำให้เขาไม่มีเพื่อน เขาจึงเลือกที่จะปลีกตัวเงียบๆ อยู่คนเดียวเสมอมา
เมื่ออายุได้สิบเอ็ดปี อัลบัส ดัมเบิลดอร์ก็มาหาเขา และอธิบายความจริงทุกอย่างว่าเขาเป็นอะไร พร้อมกับบอกว่าทอมมีสิทธิได้เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ แต่การพบปะกันสั้นๆ ครั้งแรกในวันนั้น พฤติกรรมหลายอย่างของทอม โดยเฉพาะความก้าวร้าว ดึงดันและนิสัยชอบลักขโมย ทำให้ดัมเบิลดอร์ตัดสินใจที่จะจับตาดูเขา แต่ดัมเบิลดอร์เองก็ยังไม่รู้ว่าเขาได้เจอกับพ่อมดศาสตร์มืดที่ทรงพลังและชั่วร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา ในฐานะครูเขารู้ดีว่า ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าทอม ริดเดิ้ล - รวมไปถึงเด็กทุกคน - จะโตขึ้นมาเป็นคนแบบใด แต่ดัมเบิลดอร์ก็ยอมรับว่าเขารู้สึกสนใจทอมมากเป็นพิเศษ
ความกังวลแรกเริ่มของดัมเบิลดอร์ คือ เมื่อเขาได้พบว่าพลังเวทมนตร์ของทอม ริดเดิ้ลนั้นพัฒนาไปมากจนน่าประหลาดใจสำหรับพ่อมดที่อายุน้อยในวัยเดียวกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่ทอมสามารถควบคุมอำนาจเหล่านั้นและเริ่มใช้มันอย่างจงใจ ซึ่งมันไม่ใช่การทดลองแบบเดาสุ่มอย่างพ่อมดเด็กๆ ทั่วไป แต่ทอมใช้มันกระทำต่อผู้อื่น ทั้งข่มขู่ ลงโทษ บังคับ ล้วนแต่สะท้อนออกมาในคำพูดของเขาที่ว่า ..ผมทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้ ถ้าผมต้องการ.. ส่วนเรื่องพาร์เซลเมาท์นั้นดัมเบิลดอร์ไม่ได้เป็นกังวลอะไร เพราะเขาก็ทราบดีว่าในหน้าประวัติศาสตร์เวทมนตร์ มีพ่อมดแม่มดที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงหลายคนเป็นพาร์เซลเมาท์เช่นกัน แต่สิ่งที่ดัมเบิลดอร์กังวลเกี่ยวกับทอมคือสัญชาตญาณเรื่องความโหดร้าย ชอบปกปิดและความต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่นต่างหาก
ทอม ริดเดิ้ลมาถึงฮอกวอตส์ เขาเป็นเด็กเงียบๆ สวมเสื้อคลุมใช้แล้ว ถูกคัดสรรให้ไปอยู่บ้านสลิธีรินแทบจะทันทีในวินาทีที่หมวกคัดสรรแตะลงบนศีรษะของเขา ก่อนจะค้นพบในภายหลังว่าผู้ก่อตั้งบ้านที่มีชื่อเสียงของเขานั้นสามารถพูดกับงูได้ ความรู้ใหม่นี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น ทอมมักจะทำให้เพื่อนนักเรียนบ้านสลิธีรินตกใจหรือประทับใจอยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทางหยิ่งยโสหรือก้าวร้าวออกหน้าออกตากับพวกอาจารย์ ในฐานะเด็กกำพร้าที่หน้าตาดีมากและมีพรสวรรค์เหนือเด็กทั่วไป เป็นธรรมดาที่เขาจะทำให้เหล่าอาจารย์สนใจและเมตตาตั้งแต่นาทีแรกที่มาถึงโรงเรียน ทอม ริดเดิ้ล เป็นเด็กสุภาพ เงียบขรึมและกระหายความรู้ในสายตาของอาจารย์ทั่วๆ ไป
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับอัลบัส ดัมเบิลดอร์...
ดัมเบิลดอร์ไม่ได้เล่าให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของเขาฟังว่าเขาได้พบเจออะไรจากการพบปะกับทอม ริดเดิ้ลในครั้งแรก แม้ทอมจะไม่เคยแสดงออกว่าเสียใจหรือสำนึกผิดกับความก้าวร้าวที่เขาทำลงไปกับดัมเบิลดอร์ แต่ในฐานะครูดัมเบิลดอร์ก็เลือกที่จะให้โอกาสเขา โดยคิดว่าทอมอาจสำนึกผิดและเสียใจกับความประพฤติที่ทำลงไป แต่ดัมเบิลดอร์ก็ยอมรับว่าเขาไม่ได้ไว้ใจทอม ริดเดิ้ลเหมือนกับอาจารย์คนอื่นๆ เขาตัดสินใจเฝ้าจับตาดูทอมตลอดเวลา ช่วงแรกมีหลายครั้งที่ทอมค้นพบอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตนเองและมันดูน่าตื่นเต้น เขาจะต้องมาเล่าให้ดัมเบิลดอร์ฟัง ก่อนในช่วงหลังเขาจึงเริ่มรู้สึกว่าตนเองได้บอกข้อมูลกับดัมเบิลดอร์มากเกินไปแล้ว ดังนั้นทอมจึงเริ่มระวังตัวมากขึ้น และพยายามไม่เปิดเผยอะไรมากมายให้ดัมเบิลดอร์รู้ - เขาฉลาดพอและรู้ทันที่จะไม่โปรยเสน่ห์ใส่ดัมเบิลดอร์ เหมือนกับที่เขาทำกับอาจารย์คนอื่นๆ โดยเฉพาะฮอเรซ ซลักฮอร์น อาจารย์ประจำบ้านสลิธีริน ผู้ซึ่งชื่นชมและรักใคร่ทอม ริดเดิ้ลมากเป็นพิเศษ
เมื่อเรียนชั้นสูงขึ้น ริดเดิ้ลเริ่มรวบรวมเพื่อนๆ ที่จงรักภักดีต่อเขาได้กลุ่มหนึ่ง แต่แน่นอนว่าริดเดิ้ลไม่ได้รู้สึกรักใคร่ ชอบพอหรือเอ็นดูคนพวกนี้เลย ทุกคนที่เขารวบรวมได้นั้นมีตั้งแต่พวกที่อ่อนแอต้องการความคุ้มครอง พวกทะเยอทะยานแสวงหาชื่อเสียงไปจนถึงพวกอันธพาลที่กำลังหาผู้นำซึ่งจะแสดงความอำมหิตได้อย่างละเมียดละไม โดยนัยคือคนกลุ่มนี้จะกลายมาเป็นพวกผู้เสพความตายในรุ่นแรกๆ หลังจบจากฮอกวอตส์
ริดเดิ้ลควบคุมคนกลุ่มนี้อย่างเข้มงวด และพวกเขาไม่เคยถูกจับได้ว่ากระทำความผิดอย่างเปิดเผย ตลอดเวลาเจ็ดปีที่ริดเดิ้ลอยู่ฮอกวอตส์ มีเหตุการณ์ร้ายกาจเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ทั้งตัวริดเดิ้ลและกลุ่มผู้ติดตามก็ไม่เคยถูกเกี่ยวโยงด้วยอย่างชัดเจน
นอกจากการสร้างอำนาจและอิทธิพลแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ริดเดิ้ลสนใจมากเป็นพิเศษในสมัยเรียน คือการตามหาว่าพ่อแม่ของเขาคือใคร เป็นปกติของเด็กที่โตมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาย่อมอยากรู้เป็นธรรมดาว่าเขาไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ริดเดิ้ลค้นหาร่องรอยของพ่อเขา (ทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์) ตามโล่ต่างๆ ในห้องรางวัล ตามรายชื่อพรีเฟ็คในบันทึกข้อมูลเก่าๆ ของโรงเรียน แม้กระทั่งในหนังสือต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผู้วิเศษ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พบอะไร เขาจึงต้องจำยอมรับว่าพ่อของเขาไม่เคยย่างเท้าเข้ามาที่ฮอกวอตส์ และตอนนั้นเองที่ทำให้เขาตัดสินใจสละชื่อทอม ริดเดิ้ลทิ้งไปตลอดกาล
เมื่อแน่ใจแล้วว่าพ่อของเขาไม่เคยย่างเท้าเข้ามาที่ฮอกวอตส์ ริดเดิ้ลจึงหันกลับไปสืบจากชื่อกลางของเขาแทน ซึ่งมาจากตระกูลฝั่งแม่ที่เขาเคยรังเกียจมาก่อนเพราะคิดว่าเธอไม่ใช่แม่มด หลังจากพยายามอย่างเหนื่อยยาก เขาก็พบชื่อนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือเก่าๆ เกี่ยวกับตระกูลผู้วิเศษ และพบว่าชื่อมาร์โวโล่ที่ติดตัวเขามานั้นเกี่ยวข้องกับเชื้อสายของสลิธีริน หลังจากสละชื่อเดิมทิ้ง เขาก็หันมาใช้ชื่อใหม่อย่าง ลอร์ด โวลเดอมอร์แทน
ในช่วงที่เขาสืบค้นหาต้นสายกำเนิดของตนเองอยู่นั้นเอง โวลเดอมอร์ก็ได้รู้ถึงตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาหลายพันปี เกี่ยวกับห้องๆ หนึ่งที่ซัลลาซาร์ สลิธีริน ซ่อนเอาไว้ในตัวปราสาทฮอกวอตส์ ห้องที่ทายาทของสลิธีรินเท่านั้นจะสามารถเปิดออกได้ เพื่อปลดปล่อยความชั่วร้ายที่อยู่ภายในห้องออกมากำจัดพวกลูกมักเกิ้ล (มักเกิ้ลบอร์น) ให้หมดไปจากฮอกวอตส์ - ห้องแห่งความลับ - ความตื่นเต้นที่ได้รู้ว่าตนเองเป็นทายาทของสลิธีริน ผลักดันให้โวลเดอมอร์เริ่มแผนการจนนำไปสู่การเปิดห้องแห่งความลับอีกครั้ง เมื่อเขาอายุได้สิบห้าปี
โวลเดอมอร์ปล่อยบาซิลิกส์ออกมา เกิดการทำร้ายพวกลูกมักเกิ้ลติดต่อกันไม่ขาดสาย เหตุการณ์ร้ายแรงขั้นสุดเมื่อเขาปล่อยบาซิลิกส์ออกมาและทำให้นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ เมอร์เทิล วอร์เรน ถึงแก่ความตายในห้องน้ำหญิง ตอนนั้นเองที่อาร์มันโด ดิพพิต - อาจารย์ใหญ่ของฮอกวอตส์ในขณะนั้น - ตัดสินใจที่จะปิดฮอกวอตส์และเตรียมส่งนักเรียนกลับบ้าน
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย - โวลเดอมอร์ซึ่งโตมาในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าและเห็นฮอกวอตส์เป็นบ้านหลังแรก เขาย่อมไม่อยากถูกส่งกลับไปอยู่ที่แห่งนั้น เขาพยายามขอดิพพิตให้อนุญาตเขาอยู่ที่ฮอกวอตส์ต่อไป แต่ก็ถูกปฏิเสธ - ตอนนั้นเองที่เขาตัดสินใจหาแพะรับบาปในเรื่องนี้ เขาจึงใส่ความรูเบอัส แฮกริด นักเรียนปีสามจากบ้านกริฟฟินดอร์ ว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แทน ส่งผลให้แฮกริดถูกไล่ออก ส่วนโวลเดอมอร์เริ่มเห็นแล้วว่าไม่ปลอดภัยที่จะเปิดห้องแห่งความลับอีกครั้ง เขาจึงปิดผนึกมันไว้ตามเดิม แล้วค่อยทำร่องรอยทิ้งไว้ให้กับนักเรียนคนอื่นๆ ได้เปิดมันอีกครั้งในอนาคต
วันหนึ่งในช่วงหยุดภาคฤดูร้อน ลอร์ด โวลเดอมอร์ อายุสิบหกปี ตัดสินใจเดินทางไปหาญาติตระกูลก๊อนท์ของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ สภาพของกระท่อมบ้านตระกูลก๊อนท์ที่โวลเดอมอร์เห็น สร้างความผิดหวังและขยะแขยงให้กับเขาเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อเขาเห็นสภาพของคนที่ยังอยู่ ซึ่งก็คือ มอร์ฟิน ก๊อนท์ พี่ชายของเมโรเพ และเป็นลุงของเขาเอง ยิ่งทำให้โวลเดอมอร์รู้สึกสังเวชใจเป็นอย่างยิ่ง
มอร์ฟินเกือบบุกเข้าทำร้ายโวลเดอมอร์ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์ ด้วยเหตุว่าโวลเดอมอร์นั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกับพ่อของเขามาก ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าโวลเดอมอร์พูดภาษาพาร์เซลได้เหมือนกับตัวเขาเอง การพบปะและสอบถามข้อมูลกันอย่างสั้นๆ ในวันนั้น ทำให้โวลเดอมอร์ได้รู้ในที่สุดว่าพ่อของเขาเป็นใคร
เช้าวันต่อมา หญิงรับใช้ของบ้านริดเดิ้ลวิ่งกรีดร้องไปตามถนนใหญ่ของหมู่บ้าน ประกาศว่ามีศพสามศพนอนอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ ทอม ริดเดิ้ล ซีเนียร์ และพ่อแม่ของเขาได้เสียชีวิตแล้ว
แน่นอนว่าทางการมักเกิ้ลไม่สามารถสรุปสาเหตุการเสียชีวิตของสมาชิกบ้านริดเดิ้ลทั้งสามคนได้ แต่กระทรวงเวทมนตร์รู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของพ่อมด และในแถบลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้นก็มีพ่อมดอยู่เพียงคนเดียวที่น่าสงสัยที่สุด และคนนั้นเคยติดคุกอัซคาบันมาก่อน ดังนั้นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงจึงบุกมาจับกุมมอร์ฟีน ก๊อนท์ ซึ่งนอนหมดสติอยู่ในกระท่อมซ่อมซ่อ เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องใช้สัจจะเซรุ่มหรือคาถาพินิจใจ เพราะมอร์ฟีนยอมรับสารภาพเองว่าเป็นคนลงมือฆ่ามักเกิ้ลริดเดิ้ลทั้งสามคนนั้นด้วยตนเอง เขายอมถูกจับตัวให้ไปขังแต่โดยดีไม่ขัดขืน มอร์ฟีนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในอัซคาบัน โดยมีเรื่องเดียวที่กวนใจเขาจนถึงวันตายคือแหวนประจำตระกูลก๊อนท์ ที่เขาสวมไว้ตลอดนั้นได้หายสาปสูญไป
หากแต่เบื้องหลังทั้งหมดที่แท้จริงนั้น โวลเดอมอร์สะกดนิ่งลุงของเขา เอาไม้กายสิทธิ์ไป เดินทางข้ามหุบเขาไปยังคฤหาสน์หลังงาม แล้วฆ่าชายมักเกิ้ลที่ทอดทิ้งแม่ผู้เป็นแม่มดของเขา รวมไปถึงปู่ย่ามักเกิ้ลของเขาด้วย เท่ากับเป็นการล้างตระกูลริดเดิ้ลที่ไร้ค่านี้ให้สิ้นไป และเป็นการแก้แค้นให้กับตัวเขาเองสำหรับพ่อที่ไม่เคยต้องการเขา จากนั้นโวลเดอมอร์จึงกลับมาที่บ้านโกโรโกโสของตระกูลก๊อนท์ เสกคาถาที่ซับซ้อนเพื่อฝังความทรงจำปลอมเข้าไปในใจของลุง วางไม้กายสิทธิ์ของมอร์ฟีนไว้ข้างๆ เจ้าของที่ยังไม่ได้สติ พร้อมกับถอดแหวนโบราณที่ลุงของเขาสวมอยู่ใส่กระเป๋า แล้วจากไป
หนึ่งในความลับที่สุดของลอร์ด โวลเดอมอร์ คือ การหาทางให้ตนเองอยู่ตลอดไป เป็นอมตะและไม่มีวันตาย ฮอกวอตส์เป็นสถานที่สะสมคลังความรู้มากมาย ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน และแน่นอนว่าในที่สุดเขาก็เจอวิธีการ มันอยู่ในหนังสือ ความลับของศาสตร์มืดขั้นสุด ซึ่งบอกถึงวิธีการสร้างของสิ่งหนึ่งที่ต้องมีการแบ่งแยกวิญญาณออกเป็นส่วนๆ แล้วเก็บวิญญาณซ่อนไว้ในวัตถุ เรียกว่า ฮอร์ครักซ์
สำหรับโวลเดอมอร์วิธีการนี้ดูจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด - เขาเองก็รู้เรื่องศิลาอาถรรพ์ ที่ใช้ทำน้ำยาชุบชีวิต แต่ดูเหมือนว่านั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่เขาพอใจ หากจะต้องดื่มน้ำยานี้ไปตลอดชีวิต - เขาศึกษาการทำฮอร์ครักซ์อย่างละเอียด แต่เขายังคงมีคำถามหนึ่งในใจว่าควรจะแยกวิญญาณออกเป็นกี่ส่วนจึงจะเพียงพอ
ฮอเรซ ซลักฮอร์น คือ อาจารย์ที่ชื่นชอบและรักใคร่ในตัวโวลเดอมอร์มากเป็นพิเศษ โวลเดอมอร์จึงไม่ละทิ้งโอกาสนี้เพื่อใช้ในการขอข้อมูลและข้อคิดเห็นว่าจะเป็นอย่างไรหากต้องแยกวิญญาณออกเป็นเจ็ดส่วน - ในคืนหนึ่งหลังงานเลี้ยงสโมสรซลักจบลง โวลเดอมอร์ตัดสินใจถามเรื่องฮอร์ครักซ์กับซลักฮอร์น และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้ซลักฮอร์นได้เห็นว่า ตัวตนที่แท้จริงของโวลเดอมอร์นั้นเป็นเช่นไร เขาพยายามกล่อมตัวเองว่าการสนทนาวันนั้นเป็นการถกเถียงกันในกรอบวิชาการ แต่เขาก็รู้สึกสะเทือนใจที่โวลเดอมอร์ถามถึงการแยกวิญญาณออกเป็นเจ็ดส่วน (และการสนทนาในคืนนั้น ได้กลายเป็นแผลในจิตใจของซลักฮอร์นไปอีกหลายสิบปี)
ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าโวลเดอมอร์เริ่มสร้างฮอร์ครักซ์ชิ้นแรกเมื่อใด แต่จากการคาดเดาของดัมเบิลดอร์ (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูก) โวลเดอมอร์น่าจะเริ่มสร้างฮอร์ครักซ์ชิ้นแรกหลังจากการพบปะกับซลักฮอร์นในคืนนั้นไม่นาน โดยเขาเลือกสมุดบันทึกและแหวนประจำตระกูลก๊อนท์ (ที่ขโมยมาจากลุง) ทำเป็นฮอร์ครักซ์สองชิ้นแรก โดยใช้การฆ่าเมอร์เทิล วอร์เรนและการฆ่าล้างตระกูลของพ่อตนเอง เป็นการฉีกวิญญาณ
โวลเดอมอร์จบจากฮอกวอตส์พร้อมกับคะแนนสอบที่ยอดเยี่ยมในทุกรายวิชา เป็นประธานนักเรียนและได้รางวัลพิเศษในฐานะที่ทำคุณงามความดีให้กับโรงเรียน (เรื่องยุติห้องแห่งความลับ) อาจารย์หลายคนคาดเดาว่าเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใส อย่างน้อยก็ตำแหน่งงามงามๆ ในกระทรวงเวทมนตร์ แต่ความฝันอย่างแรกของโวลเดอมอร์ คือ การได้ทำอาชีพครูเพื่อสอนนักเรียนที่ฮอกวอตส์ เขายื่นคำขอกับอาร์มันโด ดิพพิต อาจารย์ใหญ่ในขณะนั้น และมีไม่กี่คนที่ทราบเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นคืออัลบัส ดัมเบิลดอร์ ผู้ซึ่งแนะนำอาจารย์ใหญ่ดิพพิตให้ปฏิเสธไปก่อน ด้วยเหตุผลว่าตอนนั้นโวลเดอมอร์ยังอายุน้อยเกินไป
แต่สำหรับดัมเบิลดอร์ เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แม้เขาจะบอกศาสตราจารย์ดิพพิตไปด้วยเหตุผลอื่น เพราะดัมเบิลดอร์รู้ดีว่าดิพพิตนั้นรักใคร่และชอบพอโวลเดอมอร์มาก ดัมเบิลดอร์รู้ดีว่าฮอกวอตส์สำหรับโวลเดอมอร์นั้นเป็นสถานที่ที่เขาผูกพันและให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้าน (เช่นเดียวกับนักเรียนหลายๆ คน รวมทั้งแฮร์รี่) และมันยังเป็นที่ตั้งของเวทมนตร์โบราณที่โวลเดอมอร์ได้ล่วงรู้มากมายตลอดเจ็ดปีที่เขาเรียน กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามีอีกหลายปริศนาลึกลับ ที่รอวันไขออกมา มันเป็นแหล่งความรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เหตุผลสุดท้ายที่ดัมเบิลดอร์ดูจะกังวลใจมากที่สุด (ในฐานะคนที่ประกอบอาชีพครู) คือ เขารู้ดีว่าครู อาจารย์นั้นมีอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่เพียงใดกับพ่อมดแม่มดรุ่นเยาว์ โวลเดอมอร์อาจเห็นตัวอย่างจากศาสตราจารย์ซลักฮอร์น ผู้ซึ่งแสดงให้เขาเห็นว่าครูนั้นมีอิทธิพลมากเพียงใด แม้ดัมเบิลดอร์จะไม่เห็นภาพว่าโวลเดอมอร์จะเป็นครูไปตลอดชีวิต แต่อย่างน้อยในฐานะครู เขาสามารถใช้ฮอกวอตส์เป็นแหล่งในการหาสมัครพรรคพวกเพื่อเริ่มตั้งกองทัพของตนเอง
เมื่อถูกศาสตราจารย์ดิพพิตปฏิเสธ (พร้อมกับคำแนะนำให้ลองมาสมัครใหม่ในอีกสองสามปีข้างหน้า) โวลเดอมอร์ก็ทำให้บรรดาอาจารย์ที่นิยมชมชอบเขาต้องตกใจ เมื่อโวลเดอมอร์ไปขอสมัครงานเป็นลูกจ้างที่ร้านบอร์เจนและเบิร์กส์
อาจารย์หลายคนบ่นเสียดายในความสามารถของเขา แต่ ณ ที่แห่งนั้น ด้วยความหน้าตาดีและวาทะศิลป์ชั้นเลิศ ทำให้โวลเดอมอร์ได้รับหน้าที่สำคัญที่หลายคนยากนักจะทำได้ คือ การเป็นตัวแทนร้านเพื่อเจรจาขอซื้อขายวัตถุโบราณจากตระกูลพ่อมดแม่มดหลายๆ แห่ง และที่แห่งนั้นเองที่ทำให้โวลเดอมอร์ได้ค้นพบกับวัตถุเวทมนตร์สองชิ้น ที่เย้ายวนใจเขาอย่างมาก จนต้องลงมือฆาตกรรมอีกครั้งหนึ่ง
เฮปซิบาร์ สมิธ แม่มดนักสะสมของเก่า เป็นคู่ค้ารายหนึ่งของร้านบอร์เจนและเบิร์กส์ ผู้หลงไหลในหน้าตาอันหล่อเหลาและคารมวาทะศิลป์ของโวลเดอมอร์ ได้เผยให้เห็นสมบัติส่วนตัวสองชิ้นที่เธอหวงแหนและเก็บไว้เป็นความลับให้เขาดู อย่างแรกคือ ถ้วยทองของฮัฟเฟิลพัฟ - อันเป็นมรดกตกทอดในตระกูลของเธอ ซึ่งเธอนั้นเป็นทายาทห่างๆ ของหนึ่งในผู้ก่อตั้งฮอกวอตส์ อย่างที่สองคือ ล็อกเก็ตทองของสลิธีริน - ซึ่งเธอขอซื้อมาจากร้านบอร์เจนและเบิร์กส์ พร้อมกับเล่าถึงที่มาของมันว่า นายเบิร์กส์ได้ล็อกเก็ตนี้มาในราคาที่ถูกมากจากหญิงสาวน่าโง่และร้อนเงินคนหนึ่ง
หลังการพบปะในวันนั้น เฮปซิบาร์ สมิธ ก็จบชีวิตลง และเอลฟ์ประจำบ้านของเธอก็ถูกจับข้อหาวางยาพิษเจ้านายตนเอง ก่อนที่ลูกหลานของเฮปซิบาร์จะพบว่าในบรรดากองสมบัติของเธอทั้งหมดนั้น มีของสองอย่างหายไป คือ ถ้วยทองของฮัฟเฟิลพัฟและล็อกเก็ตทองของสลิธีริน
อัลบัส ดัมเบิลดอร์คาดเดาว่า (และมักจะถูกต้อง) โวลเดอมอร์อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมนี้ และเหมือนกับตอนที่เขาลงมือสังหารครอบครัวริดเดิ้ล ทางการไม่สามารถสืบสาวมาจนถึงเขาได้เช่นเคย - จริงอยู่ที่ล็อกเก็ตทองของสลิธีรินนั้นควรเป็นของเขาโดยชอบธรรม เพราะมันเป็นมรดกที่ตกทอดมาในตระกูลของเขาจริงๆ แต่การขโมยถ้วยทองของฮัฟเฟิลพัฟไปด้วย เป็นอีกสิ่งที่ยืนยันว่าความคิดของเขาถูกดึงดูดให้หวนกลับไปที่ฮอกวอตส์อยู่ดี สมบัติของผู้ก่อตั้งเป็นหนึ่งในสิ่งของที่ล่อตาล่อใจเขาเป็นอย่างมาก
หลังการตายของเฮปซิบาร์ สมิธ โวลเดอมอร์ก็ลาออกจากร้านบอร์เจนและเบิร์กส์และหายสาปสูญไป ไม่มีใครได้ข่าวคราวของเขาอีกเลยอยู่หลายสิบปี
สิบปีหลังจากฆาตกรรมเฮปซิบาร์ สมิธ โวลเดอมอร์ปรากฏตัวอีกครั้งที่ฮอกวอตส์ ภายใต้การนำของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ อาจารย์ใหญ่คนใหม่ เขากลับมาเพื่อขอคำตอบที่เคยยื่นไว้เมื่อสิบปีก่อนกับอาจารย์ใหญ่ดิพพิต เขาปรากฏกายในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปมากเสียจนอาจทำให้คนที่เคยคุ้นหน้ากับเขาต้องตกใจหรือหวาดกลัว - แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับอัลบัส ดัมเบิลดอร์
การสนทนาชวนอึดอัดในวันนั้นพร้อมกับการปฏิเสธคำขอของโวลเดอมอร์อย่างไม่ใยดี เป็นจุดเริ่มต้นสงครามโลกเวทมนตร์ครั้งที่หนึ่ง และคำสาปที่ทำให้ฮอกวอตส์ไม่เคยมีอาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดอยู่ในตำแหน่งได้ครบหนึ่งปีเลยสักคนเดียวตั้งแต่นั้น
เรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง