"เนื้อหาต่อไปนี้ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน"
ไม่ใช่เรื่องง่ายในการเขียนบทความนี้ ส่วนเหตุผลนั้นคุณจะทราบในภายหลัง แต่ฉันรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะต้องออกมาอธิบายถึงสถานการณ์ ณ ตอนนี้ที่มีแต่ความ toxic รายล้อมอยู่เต็มไปหมด ดังนั้นฉันจึงเขียนบทความนี้โดยพยายามอย่างมากที่จะไม่เพิ่มความ toxic เข้าไปอีก
สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามแต่แรก เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว (2019) ฉันทวิตเพื่อแสดงการสนับสนุน Maya Forstater ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีที่ต้องถูกไล่ออกจากงาน เพราะเธอทวิตข้อความที่ถูกนำไปขยายผลต่อว่าเป็นการเหยียดคนข้ามเพศ (transphobic) เธอนำเรื่องไปยื่นคำร้องต่อศาลแรงงาน โดยขอให้ผู้พิพากษาตัดสินว่า แนวคิดที่ว่าเพศควรถูกกำหนดจากชีววิทยาควรต้องได้รับการคุ้มครองทางกฏหมายหรือไม่ ซึ่งผู้พิพากษาไทเลอร์ได้ตัดสินออกมาว่า "ไม่สมควร"
แต่งตัวอย่างไรก็ได้ตามที่คุณชอบ จะเรียกตัวเองว่าอะไรก็ได้ตามที่ชอบ จะหลับนอนกับใครคนไหนก็ได้แล้วแต่คุณ ใช้ชีวิตของคุณให้ดีที่สุดในความสงบและความปลอดภัย
แต่การบังคับให้ผู้หญิงต้องโดนไล่ออกจากงานเพราะพวกเธอเชื่อว่าเพศกำเนิดคือของจริงเนี่ยนะ ?
#ฉันอยู่ข้างมายา #นี่ไม่ใช่การซ้อม
ฉันเริ่มสนใจในประเด็นการพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับคนข้ามเพศมาก่อนหน้านี้เกือบสองปีแล้ว ฉันติดตามประเด็นเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) อย่างใกล้ชิด ได้พบกับคนข้ามเพศ อ่านหนังสือ บล็อก บทความต่างๆ มากมายที่เขียนโดยกลุ่มคนข้ามเพศ ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสภาพ กลุ่มคนภาวะเพศกำกวม (intersex) นักสังคมสงเคราะห์ แพทย์ ตามดิสคอร์ทและแพลทฟอร์มออนไลน์รูปแบบต่างๆ ในปัจจุบัน เหตุที่ฉันสนใจมันอย่างลึกซึ้ง เพราะฉันกำลังเขียนนิยายสืบสวนซึ่งมีเส้นเรื่องที่เป็นปัจจุบัน และนักสืบหญิงในนิยายของฉันก็อยู่ในช่วงวัยที่เริ่มสนใจและอาจได้รับผลกระทบจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้ด้วยตนเอง แล้วก็มีบางเหตุผลซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ทราบต่อไป
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ฉันได้เห็นถึงรูปแบบที่ "ดูราวกับว่า" จะเป็นการคุกคามรูปแบบใหม่ผ่านทวิตเตอร์ของ Magdalen Berns เฟมินิสต์รุ่นเยาว์ เลสเบี้ยนที่กล้าหาญ แต่เธอกำลังจะตายจากอาการเนื้องอกในสมอง ฉันกดติดตามเธอเพราะอยากจะได้พูดคุยกับเธอสักครั้ง ซึ่งฉันทำสำเร็จและนั่นทำให้ฉันพบว่า Magdalen มีความเชื่อว่า "เพศทางชีววิทยานั้นมีความสำคัญมากและเลสเบี้ยนไม่ควรถูกตีตราว่าเหยียดเพศเพียงเพราะพวกเธอไม่ยอมคบกับผู้หญิงข้ามเพศที่ยังมีองคชาติอยู่" และนั่นทำให้เธอถูกหมายหัวจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศ (trans activists) ทันที เธอคุกคามอย่างไม่ลดละบนสื่อออนไลน์
ที่ฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ก็เพื่อจะบอกพวกคุณว่า ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ถ้าฉันออกตัวสนับสนุน มายา - ฉันถูกประกาศคว่ำบาตรราวๆ สี่หรือห้าครั้ง ถูกกล่าวหาว่ากำลังสร้างความเกลียดชังและกำลังผลักไสคนข้ามเพศให้ไปเจอกับอันตรายที่อาจถึงชีวิต
พวกเขาเรียกว่าว่านังหน้า_ี , _่าน, ดอก_อง และแน่นอน ขู่ว่าจะเผาหนังสือของฉัน หรือไม่ก็เอามันไปทำเป็นปุ๋ยเสีย!
แต่ที่ฉันคาดไม่ถึง คือ หลังจากที่ถูกประกาศคว่ำบาตร อีเมล์และจดหมายจำนวนมากที่พรั่งพรูมาหาฉัน ส่วนใหญ่กลับเป็นการตอบรับในเชิงบวก พวกเขาทั้งขอบคุณและให้การสนับสนุน ซึ่งมาจากกลุ่มคนที่ มีเมตตา เห็นอกเห็นใจ ฉลาดและมีหลักการ บางคนทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ประสบภาวะเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด (gender dyphoria) และกลุ่มคนคนข้ามเพศ พวกเขากังวลกันมาสักระยะแล้วกับการขับเคลื่อนทางสังคมของกลุ่ม trans activists ซึ่งตอนนี้กำลังมีอิทธิพลต่อการเมือง การแพทย์และการคุ้มครองกลุ่มคนเปราะบาง พวกเขากังวลว่าอาจเกิดอันตรายกับคนหนุ่มสาวที่เป็นกลุ่มรักร่วมเพศ ไปจนถึงผู้หญิงและเด็กที่สิทธิกำลังถูกกร่อนทำลายโดยไม่รู้ตัว และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขามีความกังวลถึงการสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวที่พวก trans activists นี้กำลังทำ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีกับใครเลย โดยเฉพาะกับกลุ่มคนข้ามเพศเอง
เป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันถอยห่างออกมาจาก Twitter - ทั้งก่อนและหลังการทวิตแสดงจุดยืนสนับสนุน Maya - เพราะมันทำให้สุขภาพจิตของฉันย่ำแย่ และฉันเพิ่งกลับมาอีกครั้ง เพื่อจะแบ่งปันการอ่านหนังสือเด็กแบบฟรีๆ ในช่วงการ lock down ของโรคระบาดนี้ เท่านั้นล่ะ พวก trans activists ผู้ซึ่งเชื่อว่าตนเองนั้นเป็นคนดี มีเมตตาและหัวก้าวหน้าก็เข้ามาป่วนในไทม์ไลน์ของฉัน พวกเขาถือสิทธิกันเต็มที่ในการต่อว่าและด่าทอฉันด้วยคำศัพท์แสลงประเภทต่างๆ รวมไปถึง - ผู้หญิงทุกคนที่เคยเข้าร่วมการถกเถียงนี้จะคุ้นเคยกันดี - คำว่า TERF
สำหรับพวกคุณที่ยังไม่รู้ - และควรจะต้องรู้ด้วย - TERF ย่อมาจากคำว่า Trans-Exclusionary Radical Feminist (กลุ่มเฟมินิสต์หัวรุนแรงที่กีดกันบุคคลข้ามเพศ) ตอนนี้ผู้หญิงหลายๆ คนถูกเรียกว่า TERF ทั้งๆ ที่พวกเธอไม่ได้เป็นเฟมินิสต์หัวรุนแรงเสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น กลุ่มมนุษย์แม่ที่กังวลว่าลูกชายของพวกเธอ ซึ่งเป็นเกย์ อาจถูกชักจูงให้เข้าสู่กระบวนการแปลงเพศ เพราะถูกกล่อมให้เชื่อว่าจะได้ไม่ถูกบูลลี่จากกลุ่มคนที่เกลียดและหวาดกลัวคนรักร่วมเพศ (homophobia) หรือหญิงชราคนหนึ่งที่ปฏิเสธการซื้อเสื้อผ้าจากร้าน Marks & Spencer อีกต่อไป หลังจากทางร้านมีนโยบายให้ลูกค้าชายที่ระบุตัวเองว่าเป็นผู้หญิงเข้าไปใช้ห้องแต่งตัวร่วมกับผู้หญิงได้ และที่ตลกร้ายไปกว่านั้น เฟมินิสต์หัวรุนแรงไม่เคยกีดกันคนข้ามเพศด้วยซ้ำ พวกเขานับกลุ่มชายข้ามเพศว่าเป็นพวกเดียวกัน เพราะเป็นเพศหญิงแต่กำเนิดเหมือนกัน
แต่การแปะป้าย 'นัง TERF' ก็เพียงพอแล้วที่ใช้ข่มขู่ผู้คน รวมทั้งสถาบันและองค์กรต่างๆ มากมาย (ที่ฉันเคยชื่นชม) ตอนนี้กลับหวาดกลัวต่อกลยุทธ์ที่เหมือนกับพวกเด็กอมมือที่เล่นกันในสนาม "พวกเขาจะบอกว่าเราเป็น transphobe นะ" "พวกเขาจะบอกว่าเราเกลียดคนข้ามเพศ" แล้วยังไง? บอกว่าคุณจะมีหมัดเกาะอยู่ที่หลังรึยังไง? ฉันคิดว่าหลายคน ซึ่งมีตำแหน่งและอำนาจ ควรจะมีความกล้าหาญมากกว่านี้
แล้วทำไมฉันถึงทำแบบนี้ ฉันออกมาพูดเพื่ออะไร ทำไมไม่นั่งก้มหัวทำการค้นคว้าไปเงียบๆ
เพราะฉันมีเหตุผลหลักๆ อยู่ 5 ข้อ ที่ทำให้รู้สึกวิตกกังกวลกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม trans activists เหล่านี้ และเป็นชนวนให้ฉันตัดสินใจว่าจะต้องพูดมันออกมา
ข้อแรก - ฉันมีมูลนิธิที่มุ่งเน้นด้านบรรเทาความทุกข์ยากของสังคมในสก็อตแลนด์ ซึ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและสตรีและครอบคลุมไปถึงกลุ่มนักโทษหญิงและผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงหรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศในครอบครัว ฉันยังให้ทุนสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) ซึ่งมีลักษณะอาการแตกต่างกันระหว่าผู้หญิงกับผู้ชาย และเป็นที่แน่ชัดมาสักระยะแล้วว่ากลุ่ม trans activists ที่กำลังผลักดันแนวคิดการระบุอัตลักษณ์ทางเพศรูปแบบใหม่ กำลังส่งผลกระทบ (หรือมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบ หากได้รับการตอบสนอง) ต่อมูลนิธิที่ฉันกำกับดูแลอยู่ ซึ่งผลกระทบนั้นเกิดจากการพยายามผลักดันให้มีการใช้ gender แทน sex โดยให้มีผลรับรองทางกฏหมาย
ข้อสอง - ฉันเคยเป็นครู และได้ก่อตั้งองค์กรการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน (ลูมอส) ซึ่งครอบคลุมเรื่องการศึกษาและการคุ้มครองพวกเขา และเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันมีความกังวลว่าการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิคนข้ามเพศ กำลังส่งผลกระทบกับทั้งสองประเด็นที่ฉันดูแลอยู่
ข้อสาม - ในฐานะนักเขียนผู้ซึ่งกำลังถูกคว่ำบาตรอย่างหนักตอนนี้ ฉันเชื่อในเรื่องเสรีภาพทางการพูด และรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปกป้องมัน ต่อให้คู่ขัดแย้งของฉันจะเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ก็ตาม
ข้อสี่ - ซึ่งเป็นเหตุผลแรกที่ค่อนข้างส่วนตัว ฉันรู้สึกกังวลที่ได้พบว่า มีเด็กผู้หญิงจำนวนมากต้องการผ่าตัดแปลงเพศ แต่จำนวนที่ต้องการ detransitioning (เปลี่ยนกับมาเป็นเพศเดิมหลังจากแปลงเพศไปแล้ว) ก็กำลังพิ่มขึ้นเช่นกัน พวกเธอเพิ่งมารู้สึกเสียใจในภายหลังที่ได้ตัดสินใจผ่าตัดแปลงเพศไปก่อนหน้า และมันเป็นความเสียหายต่อภาวะการสืบพันธุ์ที่ไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ โดยสาเหตุที่ผลักดันให้พวกเธอเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น เริ่มจากความรู้สึกว่าถูกดึงดูดจากเพศหญิงด้วยกันและความหวาดกลัวว่าจะถูกบูลลี่จากพวกเกลียดชังกลุ่มรักร่วมเพศ (homophobe) ซึ่งมาจากครอบครัวและสังคมรอบตัว
คนส่วนใหญ่อาจยังไม่ทราบ - ฉันเองก็เคยเป็นแบบนั้นจนกระทั่งได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงได้พบว่าเป็นเวลาเกือบสิบปีมาแล้วที่กลุ่มคนที่ต้องการผ่าตัดแปลงเพศนั้น ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง มีการรายงานอัตราส่วนนี้ด้วย ในสหราชอาณาจักรนั้นมีมากถึง 4,400 คน โดยมีสัดส่วนของเด็กผู้หญิงที่เป็นออทิสติกมากที่สุด
ปรากฏการณ์นี้พบในสหรัฐอเมริกาเช่นกัน - ในปี ค.ศ. 2018 แพทย์และนักวิจัยชาวอเมริกันนามว่า Lisa Littman ได้เริ่มทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในเรื่องนี้ และได้กล่าวในบทความวิจัยตีพิมพ์ของเธอว่า
"พวกผู้ปกครองโลกออนไลน์ ได้อธิบายถึงวิธีการระบุว่า คนๆ หนึ่งควรจะเข้ารับการแปลงเพศหรือไม่ เอาไว้อย่างประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นรอบๆ กลุ่มคนเหล่านี้มีการระบุอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองว่าเป็นคนข้ามเพศกันหมดทุกคน ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนมากว่านี่เป็นการระบุอัตลักษณ์ทางเพศโดยใช้อิทธิพลของสื่อและสังคมออนไลน์เข้ามากระตุ้นชี้นำเป็นหลัก"
หมอ Littman ยังได้กล่าวถึงแพลทฟอร์มต่างๆ ทั้ง Tumblr, Reddit, Instagram และ YouTube ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เยาวชนเข้าใจว่าพวกเขากำลังประสบกับภาวะ gender dyphoria และจำนวนก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอกล่าวสรุปสั้นๆ ในตอนท้ายว่า "เยาวชนกลุ่มนี้ได้สร้าง echo chamber ขึ้นมาเพื่อรวบรวมกลุ่มคนเอาไว้สำหรับพูดคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะ"
งานวิจัยของเธอสร้างความเดือดดาลขึ้นให้กับกลุ่ม trans activists อย่างมาก หมอ Littman ถูกกล่าวหาว่าพยายามตั้งแง่และเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ของกลุ่มคนข้ามเพศ เธอตกเป็นเป้าโจมตีซึ่งถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์สึนามิ พวกเขาเริ่มรวมกลุ่มกัน พยายามทำลายชื่อเสียงและผลงานทางวิชาการต่างๆ ของเธอ วารสารที่ตีพิมพ์บทความนี้ตัดสินใจถอดบทความของเธอออกโดยให้เหตุผลสั้นๆ เพียงว่า "กำลังตรวจสอบใหม่อีกครั้ง" และเส้นทางชีวิตอาชีพของหมอ Littman ก็ประสบกับสภาวะเดียวกันกับ Maya Forstater
เพราะ Lisa Littman กล้าลุกขึ้นมาท้าทายและตั้งคำถามถึงหลักธรรมคำสอนประการหนึ่งซึ่งกลุ่ม trans activists ได้บัญญัติเอาไว้ "อัตลักษณ์ทางเพศของแต่ละคนนั้นมีมาแต่กำเนิด รสนิยมทางเพศก็เช่นกัน พวกเขายืนกรานว่าไม่มีใครสามารถถูกชักจูงให้เป็นคนข้ามเพศได้หรอก ถ้าพวกเขาจะเป็นนั่นเพราะพวกเขาเป็นมาตั้งแต่เกิด"
การโต้แย้งของกลุ่ม trans activists ส่วนใหญ่ในตอนนี้ มักจะเป็น ถ้าคุณไม่ให้วัยรุ่นที่กำลังประสบกับภาวะ gender dyphoria เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ พวกเขาจะฆ่าตัวตาย! - ขณะที่ Marcus Evans จิตแพทย์ที่เคยทำงานให้กับ the Tavistock* (คลินิกที่ให้บริการรับคำปรึกษาเรื่องเพศสภาพในอังกฤษ) ได้กล่าวถึงข้อโต้แย้งดังกล่าวนี้ว่า "การอ้างว่าเด็กที่ประสบกับภาวะดังกล่าวนี้จะฆ่าตัวตายถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น ไม่มีข้อมูลชี้ชัดที่สอดคล้องและน่าเชื่อถือ และไม่สอดรับกับวิธีการหรือเครื่องมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพใดๆ ในสาขานี้หรือแม้แต่เปรียบเทียบกับเคสต่างๆ ที่ฉันได้เจอมาตลอดหลายสิบปีในการเป็นจิตแพทย์"
เพิ่มเติมจากแอดมินพอตเตอร์ไดอารี่
The Tavistock : เป็นคลินิกที่รับให้คำปรึกษาแก่ผู้คนที่ประสบกับภาวะ gender dyphoria มานานหลายปี แต่ในช่วงหลังมานี้ พบว่ามีเด็กและเยาวชนถูกส่งมาที่คลินิกแห่งนี้จำนวนมากผิดปกติ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขานั้นถูกแนะนำให้มาที่นี่จากองค์กรหนึ่ง ซึ่งสนับสนุนกลุ่มเยาวชนข้ามเพศที่ชื่อว่า "Mermaids"
ก่อนหน้าที่ Mermaids จะถูกตั้งกรรมการสอบสวน ได้มีการเปิดเผยรายงานว่า CEO ของ Mermadis นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจิตแพทย์ที่คลินิกแห่งนี้ (ซึ่งถูกพักใบอนุญาตไปแล้ว - หลังจากข่าวฉาวขององค์กร Mermaids ได้ปรากฏแน่ชัดในปี 2022)
งานเขียนของชายข้ามเพศคนหนึ่งเผยให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ประสบกับภาวะ gender dyphoria นั้นล้วนเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดและอ่อนไหวง่าย ยิ่งฉันได้อ่านเรื่องราวของพวกเขาอย่างลึกซึ้งมากเท่าไร ทำให้ฉันได้รับรู้ถึงความวิตกกังวล ความรู้สึกแปลกแยก ภาวะการกินที่ผิดปกติ การรังเกียจตัวเองและการทำร้ายตัวเองที่พวกเขาแต่ละคนต้องเผชิญ ซึ่งทำให้ฉันเก็บมาย้อนคิดกับตัวเองว่า ถ้าฉันเกิดช้ากว่านี้อีกสัก 30 ปีฉันอาจจะคิดว่าการแปลงเพศคือทางออกเหมือนกัน มันดูเย้ายวนใจสำหรับเด็กสาวที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มตัว ฉันเคยประสบกับภาวะ OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) ในช่วงวัยรุ่น และหากมีสื่อออนไลน์ที่เข้าถึงง่ายแบบในปัจจุบันนี้ ฉันว่าฉันอาจถูกชักจูงพาไปเปลี่ยนตัวเองเป็นเด็กผู้ชาย ลูกชายอย่างที่พ่อของฉัน - ซึ่งเคยยอมรับตรงๆ ว่าอยากได้มานาน*
เมื่อได้อ่านแนวคิดการระบุอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งมีการกล่าวถึงภาวะไร้เพศ (sexless) ฉันจำได้ว่าเคยมีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันในตอนเด็ก ฉันนึกถึงโควตคำพูดของ Colette's ที่เคยพูดถึงคำว่า "ภาวะกะเทยทางจิต" (mental hemarphodite) และของ Simone de Beauvoir ที่ว่า "เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะรู้สึกอึดอัดใจจากข้อจำกัดทางเพศของพวกเธอ คำถามที่แท้จริงไม่ใช่ทำอย่างไรพวกเธอจึงจะหลีกหนีจากข้อจำกัดเหล่านั้น หากแต่เป็น ทำอย่างไรพวกเธอจึงจะยอมรับและทำความเข้าใจกับข้อจำกัดเหล่านั้นต่างหาก"
และถึงฉันจะเลือกเดินไปในทางนั้น ฉันก็ไม่สามารถแปลงเพศเป็นเด็กผู้ชายได้อยู่ดี โดยเฉพาะในช่วงปี 80 แบบนั้น ดังนั้นการบำบัดสุขภาพจิตในช่วงวัยรุ่นของฉันจึงเป็นหนังสือ วรรณกรรมและดนตรีแทน ที่ช่วยให้เด็กผู้หญิงอย่างฉันผ่านช่วงเวลาแห่งความสับสน ว้าวุ่นใจต่อการเปลี่ยนแปลงของสรีระทางร่างกาย และโชคดีที่ฉันพบคำตอบนั้นผ่านงานเขียนและดนตรีของผู้หญิงหลายๆ คนที่ทำให้ฉันมั่นใจว่า "ในโลกที่คอยแต่จะจับจ้องมาที่เรือนร่างของผู้หญิงแบบนี้ มันไม่เป็นไรหรอกที่คุณจะรู้สึกไม่โอเคและสับสนบ้าง มันเป็นเรื่องปกติของกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยเจริญพันธุ์ และหลายๆ ครั้งมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเพศเสมอไป"
เพิ่มเติมจากแอดมินพอตเตอร์ไดอารี่
โรว์ลิงเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2007 ผ่านสารคดี J.K.Rowling : A Year in the Life ในช่วงต้นว่า เธอถูกเลี้ยงขึ้นมาเหมือนกับเด็กผู้ชาย เพราะพ่อของเธออยากได้ลูกชาย ตรงข้ามกับไดแอนน์ (น้องสาว) ที่ถูกเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้หญิงมากกว่า และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโจกับพ่อไม่ค่อยราบรื่นมาตั้งแต่เริ่มต้น ป้าโจเคยพยายามอยู่หลายครั้งที่จะปรับความเข้าใจกับพ่อ ก่อนที่เธอจะยอมแพ้ในที่สุด - เธอยอมรับในสารคดีชุดนั้นว่า "ไม่ได้ติดต่อกับพ่อมาหลายปีแล้ว"
อยากบอกให้ชัดเจนตรงนี้ว่า ฉันทราบดีและยอมรับว่าการแปลงเพศนั้นเป็นทางออกสำหรับคนที่ประสบกับภาวะ gender dyphoria ในบางคน มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลจริง แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อมูลที่มองข้ามไม่ได้ว่า เด็กที่ประสบกับภาวะ gender dyphoria ในช่วงวัยรุ่นนั้น ร้อยละ 60-90 สามารถหายจากภาวะนี้ได้เองเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันถูกขอร้อง(แกมบังคับ) ด้วยคำพูดที่ว่า "ลองไปคุยกับคนข้ามเพศสักคนดูบ้างสิ!" ฉันทำแล้ว ฉันได้พบปะและพูดคุยกับหญิงข้ามเพศหลายคน และมีคนหนึ่ง ซึ่งเธออายุมากกว่าฉันและเธอเป็นคนที่วิเศษมาก เธอยอมเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างให้ฉันฟัง ตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์ที่เธอได้ลองใช้ชีวิตในฐานะชายรักร่วมเพศ (เกย์) ก่อนจะตัดสินใจเข้ารับการแปลงเพศ และฉันไม่เห็นเธอเป็นอื่นใดนอกจากผู้หญิงคนหนึ่ง ฉันเชื่อและหวังว่าเธอจะมีความสุขอย่างมากที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ และหลายปีที่ผ่านมาเธอต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนแปลงเพศที่ยาวนาน ทั้งการประเมินสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพื่อให้แน่ใจว่าเธอต้องการข้ามไปเป็นอีกเพศหนึ่งจริงๆ
แต่กระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่ม trans activists ในตอนนี้ พวกเขาพยายามจะรณรงค์ให้ 'ลดทอน' ไปจนถึง 'ตัดตอน' กระบวนการแปลงเพศที่ยาวนานและซับซ้อนนี้ทิ้งไป และเปิดช่องให้ผู้ชายคนไหนก็ได้ สามารถอ้างสิทธิตนเองในฐานะผู้หญิงได้ทันที โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่าตัดแปลงเพศหรือรับการบำบัดด้วยฮอร์โมนก่อน และหลายคนก็ยังไม่ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา หากเรื่องนี้ได้ผ่านสภาเพื่อรับรองและออกเป็นกฏหมายพลเมืองว่าด้วยการระบุเพศสภาพ
เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงถูกรังเกียจและถูกคุกคามมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยประสบมาในชีวิต ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ฉันเคยจินตนาการว่าลูกสาวของฉันคงจะมีอนาคตที่สดใสและดีกว่าที่ในช่วงเวลาที่ฉันได้เติบโตมา แต่กลับกลายเป็นว่า ณ ตอนนี้ กระแสต่อต้านเฟมินิสต์และวัฒนธรรมบนสื่อออนไลน์ที่เต็มไปด้วยสื่อลามกอนาจาร ทำให้ฉันเชื่อว่าตนเองน่าจะคิดผิดไปเสียแล้ว ฉันไม่เคยเห็นช่วงเวลาไหนที่ผู้หญิงถูกดูหมิ่น คุกคามและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากขนาดนี้มาก่อน
ตั้งแต่ผู้นำโลกเสรีที่ใหญ่ที่สุดพูดจาคุกคามผู้หญิงในสื่อออนไลน์อย่างภาคภูมิใจอย่าง "grabbing them by the pussy (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ)" ขบวนการ Incel (involuntarily celibate) ที่โกรธเคืองผู้หญิงคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา และล่าสุดกับกลุ่ม trans activists ที่ประกาศว่า "พวก TERF ควรต้องถูกสวนสักหมัดและจับมาปรับทัศนคติใหม่" และพวกผู้ชายในแวดวงการเมืองดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันว่า "พวกผู้หญิงนี่เอาแต่สร้างปัญหาจริงๆ" ทั่วทุกหนแห่งตอนนี้ ผู้หญิงถูกบังคับให้หุบปากและนั่งอยู่เงียบๆ
ฉันอ่านข้อโต้แย้งทั้งหมดที่พยายามบอกว่า "ความเป็นผู้หญิงนั้นไม่ยึดโยงกับเพศโดยกำเนิด" และ "ผู้หญิงโดยกำเนิดไม่มีวันเข้าใจหรือประสบกับภาวะในลักษณะเดียวกัน" ก่อนที่ฉันจะพบว่า คนที่พูดแบบนี้ล้วนแต่เป็นพวกที่เกลียดชังผู้หญิงอย่างฝังรากลึก และมันชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของพวกเขาว่าต้องการทำให้พวกเราเชื่อว่า เพศกำเนิด (sex) นั้นนอกจากจะไม่สำคัญแล้วยังเป็นตัวบ่งชี้ถึงการแบ่งแยกในสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม รวมถึงอีเมล์หลายร้อยฉบับที่ฉันได้รับในช่วงไม่กี่วันมานี้ ยังพยายามบอกฉันว่า การที่ผู้หญิงประกาศตัวว่าเป็นพันธมิตรกับคนข้ามเพศนั้นมันไม่เพียงพอ แต่จะต้องยอมรับผู้หญิงข้ามเพศให้เหมือนกับผู้หญิงแท้ๆ ในทุกกรณี โดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ว่า อย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆ เคยพูดก่อนหน้านี้นั่นล่ะ....
ยิ่งไปกว่านั้น พวกภาษาที่อ้างว่าพยายามจะทำให้ "ครอบคลุม" อย่างคำว่า "ผู้มีประจำเดือน" หรือ "คนที่มีช่องคลอด" มันกระทบกระเทือนจิตใจผู้หญิงหลายคนให้ถูกด้อยค่าและลดทอนความเป็นมนุษย์ - ฉันเข้าใจว่าพวกกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศมองว่าคำพวกนี้นั้นอ่อนโยนและเหมาะสม แต่ขณะเดียวกันพวกเราก็ถูกคนกลุ่มนี้ดูหมิ่น เหยียดหยามและด่าทอด้วยคำหยาบคายต่างๆ นานา ดังนั้นภาษาพวกนี้มันโครตลำเอียง ไม่เป็นมิตรและกำลังสร้างความแตกแยกมากขึ้น
ซึ่งนำมาสู่ความกังวล ข้อที่ห้า - เป็นความวิตกกังวลของฉันเกี่ยวกับผลที่จะตามมาจากการเคลื่อนไหวของพวกกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศในปัจจุบันนี้
ฉันอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์มาเป็นเวลากว่า 20 ปี และไม่เคยบอกใครมาก่อนว่าฉันเองก็เป็นผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงและการคุกคามทางเพศที่เกิดในครอบครัว ที่ฉันไม่เคยพูดไม่ใช่เพราะว่าฉันอายที่เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับตนเอง แต่เพราะมันรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่ต้องนึกย้อนไปหามัน และฉันยังรู้สึกว่าต้องปกป้องลูกสาวคนแรก ซึ่งเกิดจากชีวิตสมรสครั้งแรกของฉัน ฉันจึงไม่ต้องการเผยเรื่องนี้ให้เธอทราบ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ถามเธอว่าจะโอเคไหมถ้าแม่จะขอเล่าเรื่องนี้ออกสู่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา เธอไม่เพียงแค่ตกลงแต่ยังสนับสนุนฉันด้วย
ที่ฉันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดไม่ใช่เพราะต้องการขอความเห็นใจ แต่มันเป็นความรู้สึกร่วมของผู้หญิงทุกคนที่เคยประสบกับเหตุการณ์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับฉัน และพวกเราถูกด่าว่าเหยียดเพศเพียงเพราะเราต้องการพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคนเพศเดียวกัน (single-sex space)
ฉันรอดจากชีวิตแต่งงานที่มีแต่ความรุนแรงมาได้อย่างยากเย็น และแม้ว่าตอนนี้ฉันได้แต่งงานกับชายที่เป็นคนดีและมีหลักการ ปลอดภัยและอบอุ่นในแบบที่ฉันไม่เคยคาดว่าจะได้รับ แต่อย่างไรบาดแผลจากความรุนแรงและการคุกคามทางเพศก็ไม่ได้หายไป ไม่ว่าคุณจะได้รับความรักมากแค่ไหนหรือมีเงินทองมากเท่าใด - ฉันภาวนาให้ลูกสาวต้องไม่เจอแบบเดียวกันกับฉัน ซึ่งมันทำให้ฉันเป็นคนวิตกกังวลกับเสียงที่อยู่ๆ ก็ดังปัง! ออกมา ไปจนถึงกลัวว่าจะมีใครแอบมาลอบทำร้ายจากข้างหลัง โดยไม่ทันรู้ตัว
ถ้าคุณสามารถอ่านความคิดในหัวของฉันได้และเข้าใจในสิ่งที่ฉันรู้สึกเมื่อได้อ่านเรื่องราวของผู้หญิงข้ามเพศที่ตายจากน้ำมือของผู้ชายที่นิยมความรุนแรง คุณจะพบว่าฉันนั้นเห็นใจและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ฉันนึกถึงความหวาดกลัวที่พวกเธอต้องเผชิญในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เพราะฉันผู้ซึ่งเคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน รู้ดีว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เรารอดชีวิตได้ในช่วงเวลานั้น คือการยับยั้งชั่งใจจากคนที่กำลังลงมือฆ่าเรานั่นเอง
ฉันเชื่อว่าคนข้ามเพศส่วนใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อคนอื่น แต่พวกเขาก็เสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าของความรุนแรงเช่นกัน พวกเขาสมควรได้รับการคุ้มครองเหมือนกับผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงข้ามเพศที่ทำงานเป็น sex worker มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษที่จะถูกล่วงละเมิดและทำร้ายร่างกาย ฉันล้วนรู้สึกเห็นอกเห็นใจและรู้สึกร่วมไปกับพวกเธอ เมื่อถูกทำร้ายร่างกายจากพวกผู้ชายหัวรุนแรง
ดังนั้น ฉันต้องการให้ผู้หญิงข้ามเพศปลอดภัย แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่ต้องการทำให้เด็กและผู้หญิงปลอดภัยน้อยลง ในเมื่อตอนนี้ คุณกำลังเปิดประตูห้องน้ำและห้องแต่งตัว และอนุญาตให้กับผู้ชายคนใดก็ตามที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้หญิงเข้ามาได้ - ซึ่งถูกรับรองว่าถูกต้องตามกฏหมายแล้วด้วย โดยไม่ต้องแปลงเพศหรือรับการบำบัดด้วยฮอร์โมน จากที่ฉันได้กล่าวไปข้างต้น - นั่นแปลว่าคุณกำลังเปิดช่องให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาก็ได้ มันเป็นความจริงง่ายๆ เลย
และเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ฉันอ่านเจอข่าวที่ว่ารัฐบาลสก็อตแลนด์เตรียมทำแผนร่างกฏหมายรับรองเพศสภาพ ซึ่งยังคงมีข้อถกเถียงกันอย่างมหาศาลในขณะนี้ และกฏหมายนี้จะอนุญาตให้ผู้ชายสามารถระบุตนเองว่าเป็นผู้หญิงได้ทันที และจะเป็นตามนั้นอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
นั่นทำให้ฉันรู้สึกราวกับว่าถูกกระตุ้นให้หวนนึกถึงบาดแผลในอดีตทันที - ไหนจะยังถูกก่อกวนจากพวก trans activists ที่เข้ามาก่อกวนในหน้าไทม์ไลน์ของฉัน ซึ่งกำลังแบ่งปันภาพวาดจากเด็กๆ ทั่วโลกซึ่งมาจากหนังสือของฉัน แต่กลายเป็นว่าวันนั้นฉันวนเวียนอยู่กับความทรงจำที่เลวร้ายในอดีต การคุกคามทางเพศและความรุนแรงที่ฉันในได้รับในช่วงวัยยี่สิบปี กลับมาหลอกหลอนและวนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดทั้งวัน - การจู่โจมฉันที่พรั่งพรูมาพร้อมกันนี้มันยากที่จะปิดกั้นอารมณ์โกรธและผิดหวังของฉันเอง ที่ตอนนี้ได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลของฉันกำลังดำเนินการแบบเร่งรัดและหละหลวม โดยเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของเด็กและผู้หญิง
และช่วงเย็นของวันเดียวกัน ก่อนจะเข้านอนฉันตั้งใจจะเลื่อนดูรูปวาดที่พวกเด็กๆ ส่งเข้ามา แต่แล้วฉันก็เจออะไรบางอย่างที่มาเพิ่มความโกรธเคืองของฉัน มันทำให้ฉันลืมตัวและลืมกฏข้อแรกของการใช้ทวิตเตอร์ที่ว่า - อย่าคาดหวังการตอบรับที่ดีและมีอารยะ - ฉันตอบโต้บทความที่ใช้คำซึ่งลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิง
"ผู้มีประจำเดือน" เหรอ ฉันแน่ใจว่ามีคำเรียกคนเหล่านั้นได้ดีกว่านี้นะ มีใครพอจะช่วยฉันนึกออกบ้างไหม
(แล้วเธอก็เลือกใช้คำแสลง เพื่อเป็นการเหน็บแนมว่า ทำไมไม่ใช้คำว่าผู้หญิง [Women] ออกมาโดยตรง)
Wumben? Wimpund? Woomud?
“ถ้าเพศ(กำเนิด)ไม่มีอยู่จริง งั้นก็ไม่มีคำว่ารักเพศเดียวกัน ถ้าเพศไม่มีจริง ตัวตนของผู้หญิงทั้งโลกก็จะถูกลบออกไปด้วย ฉันรักคนข้ามเพศนะ แต่การลบแนวคิดที่ว่าเพศกำเนิดไม่มีอยู่จริงก็จะทำให้คุณค่าในชีวิตของใครหลายๆ คนต้องถูกลืมไปด้วย มันไม่ใช่ความเกลียดชังนะ มันคือการพูดความจริง ”
ความคิดที่ว่าผู้หญิงแบบฉัน - ซึ่งเห็นใจคนข้ามเพศมาหลายสิบปี รู้สึกเข้าอกเข้าใจเพราะพวกเธออ่อนไหวเช่นเดียวกันกับผู้หญิง เช่น เรื่องความรุนแรงจากผู้ชาย - กลับถูกมองว่าเกลียดคนข้ามเพศเพียงเพราะพวกเราคิดว่าเพศกำเนิดมีจริงและมีผลกระทบตามมา - เป็นเรื่องไร้สาะ
ฉันเคารพสิทธิของคนข้ามเพศทุกอย่าง พวกเขาที่มีสิทธิจะใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายตามที่ต้องการ ฉันจะร่วมเดินไปกับพวกคุณ หากเผชิญกับการแบ่งแยกหรือถูกเลือกปฏิบัติเพราะเป็นคนข้ามเพศ ควบคู่ไปกับชีวิตฉัน ที่เติบโตมาในฐานะผู้หญิง และฉันไม่เชื่อว่านี่เป็นความเกลียดชังนะ
การที่ฉันออกมาพูดถึงความสำคัญของเพศทางชีวภาพ (sex) ในวันนั้น ฉันต้องจ่ายมันคืนด้วยราคาที่สูงลิ่ว ฉันถูกเรียกว่าทรานส์โฟบ (transphobe) ฉันเป็นนังหน้า_ี ร่าน กะห_ี่ และ ดอก_อง เป็นนัง TERF ฉันสมควรจะต้องถูกคว่ำบาตร ถูกชกหน้าและสมควรตาย ฉันกลายเป็นลอร์ด โวลเดอมอร์ - ซึ่งนี่ก็เป็นประโยคเดียวที่ฉันเข้าใจที่สุดน่ะนะ
ผู้หญิงจำนวนมากหวาดกลัวกลุ่ม trans activists ซึ่งมันเข้าใจได้ (ดูจากพฤติกรรมของพวกเขาในตอนนี้) ฉันรู้เพราะหลายคนติดต่อฉันมา พวกเธอไม่กล้าออกมาพูดเพราะกลัวถูกติดตาม อาจถูกไล่ออกจากงาน และแน่นอนอาจจะถูกคุกคามด้วย - แต่สำหรับฉัน (ซึ่งอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์) การคุกคามและความอาฆาตมาดร้ายยังคงพุ่งเข้ามาหาฉันอย่างไม่หยุดหย่อน และฉันก็ปฏิเสธที่จะก้มหัวให้กับขบวนการเหล่านี้ ซึ่งฉันเชื่ออย่างมั่นใจว่ามันกำลัง "บ่อนทำลาย" ผู้หญิง ทั้งในแง่สังคมและทางชีววิทยา แต่กลับไปเสนอการคุ้มครองและส่งเสริมให้พวกนักล่าเขาถึงตัวเด็กและผู้หญิงได้ง่ายขึ้นแทน
ฉันยืนหยัดอยู่ข้างทุกคน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย กลุ่มรักร่วมเพศและกลุ่มคนข้ามเพศ ที่ยืนหยัดเรื่องเสรีภาพในการพูดและการคิด ไปจนถึงร่วมกันปกป้องกลุ่มคนเปราะบางในสังคม อย่างเช่น กลุ่มเยาวชนรักร่วมเพศ กลุ่มวัยรุ่นที่เปราะบางและแน่นอน กลุ่มผู้ที่หวงแหนและปรารถนาที่จะสงวนพื้นที่ปลอดภัยเอาไว้สำหรับเพศ (sex) เดียวกัน ซึ่งโพลสำรวจส่วนใหญ่บ่งชี้ว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่ก็ยังมีกลุ่มอภิสิทธิ์ชนผู้ซึ่งไม่เคยเผชิญหน้ากับความรุนแรงหรือการคุกคามทางเพศจากผู้ชาย และคนที่ไม่สนใจจะศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังว่ากำลังสร้างผลกระทบอะไรบ้าง
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีหวัง คือ ผู้หญิงหลายคนเริ่มร่วมกลุ่มกันและเดินขบวนประท้วงการเคลื่อนไหวรูปแบบนี้ โดยพวกเธอมีทั้งกลุ่มผู้ชายและคนข้ามเพศคอยให้การสนับสนุน พรรคการเมืองหลายกลุ่มต้องการทำให้เสียงประท้วงนี้เงียบลง พวกเขาเพิกเฉยต่ออันตรายและความกังวลของผู้หญิง สตรีทั่วสหราชอาณาจักร เริ่มติดต่อหากันตามโอกาสวาระต่างๆ ถกเถียงและพูดคุยกันถึงสิทธิสตรีที่กำลังถูกบ่อนเซาะทำลาย และไม่มีใครเลยที่กล่าวหามุ่งร้ายต่อกลุ่มคนข้ามเพศ ตรงกันข้าม พวกเธอเริ่มพุ่งความสนใจมายังกลุ่มเยาวชนข้ามเพศ พวกเธอรู้สึกเห็นใจต่อคนข้ามเพศที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่กลับต้องถูกโดนเหมารวมไปกับขบวนการที่เอาสถานะความเป็นคนข้ามเพศไปใช้โดยที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมเลย และน่าขำที่สุดคือ การพยายามแปะป้ายผู้หญิงด้วยคำว่า TERF กลายเป็นแรงผลักดันให้เยาวชนผู้หญิงหลายๆ คน เริ่มสนใจคำว่า เฟมินิสต์หัวรุนแรง ซึ่งไม่ค่อยได้ปรากฏให้เห็นมานานหลายทศวรรษแล้ว
สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะบอกคือ ฉันไม่ได้เขียนบทความนี้เพราะหวังว่าจะให้ใครมายกย่องหรือสรรเสริญตัวฉันแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม - ฉันก็แค่คนโชคดีอย่างมากคนหนึ่ง ที่รอดจากการตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในอดีตมาได้ ฉันก็เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ บนโลกนี้ มีเรื่องราวเบื้องหลังที่ซับซ้อน ซึ่งกำหนดตัวตน แนวคิด ความกลัวและความสนใจของฉันในปัจจุบัน - ฉันยังจำได้ดีว่าการสร้างตัวละครในนิยายขึ้นมาสักตัวหนึ่งนั้น ฉันครุ่นคิดถึงเบื้องหลังอันซับซ้อนของพวกเขาอย่างไร ซึ่งจะกำหนดพฤติกรรมของพวกเขาขณะที่ฉันลงมือเขียน - ในประเด็นเรื่องราวของคนข้ามเพศนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทั้งหมดที่ฉันกำลังขอ - หรือที่ฉันกำลังต้องการ - คือความเห็นอกเห็นใจและการทำความเข้าใจ อันหมายรวมถึงผู้หญิงอีกหลายล้านคน ที่แค่อยากจะออกมาพูดถึงความกังวลของตนเอง นอกจากเสียงจะไม่ถูกรับฟังแล้ว ยังถูกแปะป้ายว่าเป็นอาชญากร แถมตามมาด้วยการข่มขู่และคุกคามจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifan