บทความเนื่องในโอกาสที่ เจ.เค.โรว์ลิง อายุครบ 60 ปี เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดโดย พอตเตอร์ไดอารี่
หากนำเนื้อหาออกไปเผยแพร่ที่อื่น โปรดแจ้งมาที่เพจก่อนได้รับอนุญาต
โจแอนน์ โรว์ลิง เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมไวย์ดีนเมื่อตอนอายุ 11 ปี โรงเรียนที่แม่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการมาตั้งแต่โจเด็กๆ ช่วงปี 70s มณฑลกลอสเตอร์เชอร์ หัวเมืองใหม่ที่กำลังรุ่งโรจน์จากอุตสาหกรรมหนัก ณ ช่วงเวลานั้นกำลังเผชิญกับช่วงขาลงและดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ความผันผวนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ได้มาเยือนสหราชอาณาจักรในช่วงทศวรรษที่ 70s และจะลากยาวไปอีกเกือบ 20 ปีหลังจากนี้
ฤดูหนาวแห่งความไม่พอใจ (Winter of Discontent) เป็นชื่อเรียกช่วงเวลาในสหราชอาณาจักรช่วงปลายปี 1978 ถึงต้นปี 1979
การประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่จากสหภาพแรงงานที่ขอเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม สวนทางกับนโยบายควบคุมเงินเฟ้อของรัฐบาลพรรคแรงงานในขณะนั้น การประท้วงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของผู้คนและนำไปสู่ความไม่พอใจและความขุ่นเคืองในวงกว้าง
นอกจากนี้ สภาพอากาศที่เลวร้ายในช่วงเวลานั้นยังทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงไปอีก เหตุการณ์นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้รัฐบาลพรรคแรงงานพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งและพรรคอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของมาร์กาเรต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) จึงได้เข้ามาบริหารประเทศในปี ค.ศ. 1979
แธตเชอร์ออกมาตรการกดเงินเฟ้อด้วยนโยบายคุมเงินของภาครัฐและตัดงบประมาณส่วนที่ไม่จำเป็นออก อำนาจของสหภาพแรงงานลดลง ส่งผลให้คนตกงานพุ่งกว่า 3 ล้านคน ช่องว่างระหว่างชนชั้นขยายกว้างขึ้น อังกฤษเริ่มหันจากโรงงานอุตสาหกรรมมาสู่ภาคบริการและการบริหารด้านการเงิน การกำกับมาตรการเงินตราทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในเวลส์ ส่งผลให้งานโรงเหล็ก-ถ่านหินหายเกลี้ยง ระหว่างปี 1979-82 อัตราการว่างงานสูงถึง 1.3 แสนตำแหน่ง
โรลส์-รอยซ์ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังบริษัทยื่นล้มละลายในปี 1971 เขตชนบทบางแห่งเจออัตราการว่างงานพุ่งสูง เมืองเชปสโตว์ที่ครอบครัวโรว์ลิงอาศัยอยู่ อัตราการว่างงานแตะ 12% ในปี 1982 อู่ต่อเรือ-เหล็กใหญ่ๆ เริ่มซบเซาตั้งแต่ช่วง 1968-69 แต่ยังพอไปต่อได้ แม้จะไม่ใช่ดาวรุ่งพุ่งแรงแบบทศวรรษก่อน แต่ตอนนี้หัวเมืองที่เคยรุ่งโรจน์กลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง แม้จะยังมีโรงงานวิศวกรรมกระจุกตัวอยู่เฉพาะจุดบ้างก็ตาม
ลองนึกภาพเด็กหญิงโจแอนน์อายุ 11 ปี กำลังนั่งรถบัสไปไวย์ดีน ท่ามกลางเสียงเครื่องเจ็ตจากโรงงานที่แสงดาวแห่งความรุ่งโรจน์เริ่มแผ่วลง มอเตอร์เวย์มุ่งหน้าสู่ลอนดอนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อทุกคนเริ่มทยอยออกจากชนบทมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเพื่อเริ่มหางานใหม่ทำ
ปีเตอร์ โรว์ลิง โดนเลย์ออฟด้วยไหม?”
คำตอบคือ ไม่โดน ข้อมูลหลักฐานชีวประวัติระบุว่า ต้นทศวรรษ 1980 ปีเตอร์ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวิศวกรระดับอาวุโส ที่โรงงานโรลส์-รอยซ์เมืองฟิลตัน ดังนั้นในช่วงที่โจแอนน์ยังวัยรุ่น บ้านโรว์ลิงยังคงประคับประคองต่อไปได้ในฐานะชนชั้นกลาง แม้จะต้องเริ่มรัดเข็มขัดและจำกัดการใช้เงินบ้างตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวและซบเซาอย่างหนัก
เศรษฐกิจพังๆ ของปลายยุค 70 ถึงต้น 80 ไม่ได้ทำให้บ้านโรว์ลิงอดอยาก แต่โจแอนน์ก็ดูดซับบรรยากาศแห่งความยากลำบาก ความเหลื่อมล้ำจากสังคมรอบตัวมาเต็มๆ เราอาจลองนึกภาพว่า เพื่อนร่วมชั้นหลายคนของโจมาจากบ้านที่พ่อโดนลดกะหรือแม่โดนให้ออกจากโรงงาน เธอได้ยินเรื่องเหล่านี้อยู่ทุกวันบนรถโรงเรียน นักเรียนจากฝั่งเวลส์เกือบครึ่งโรงเรียน นำข่าวพ่อออกไปถือป้ายประท้วง เหมืองปิด โรงงานล้มกิจการ มาคุยกันกลางพักเที่ยง โรงเรียนไวย์ดีนเป็นโรงเรียนรัฐในชนบทซึ่งมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โจแอนน์เริ่มเห็นตั้งแต่ตอนนั้นว่าระบบชนชั้นส่งผลต่อการศึกษาและกำหนดอนาคตของมนุษย์คนหนึ่งได้ตั้งแต่ตอนเด็ก
บ้านตัวเองยังคงอิ่มท้อง แต่บ้านข้างๆ เริ่มติดป้าย "ประกาศขาย" เมื่อโรงงานที่พวกเขาทำงานอยู่มาเกือบสิบปีประกาศเลิกกิจการหรือลดกะทำงานลง อาจเป็นแรงผลักให้ เจ.เค.โรว์ลิง เขียนให้ครอบครัวพ่อมดก็มีหลายระดับ : แฮร์รี่ พอตเตอร์มีกองเงินถุงถังอยู่ในกริงกอตส์ แต่พวกวีสลีย์แทบจะต้องกวาดทั่วทุกมุมของห้องนิรภัยเพื่อดูว่ามีเศษเงินเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง เธอมองเห็นตั้งแต่วัยรุ่นว่าระบบสามารถกดทับคนๆ หนึ่งได้มากเพียงใด คนดีๆ ตกงานไม่ใช่เพราะความขี้เกียจ แต่เพราะโครงสร้าง ทั้งหมดนี้คือรากของความหมกมุ่นเรื่องสถาบันกับแนวคิดในแฮร์รี่พอตเตอร์ (ความเชื่อเรื่องเลือดบริสุทธิ์ ระบบที่ล้มเหลวของกระทรวงเวทมนตร์)
แม้ครอบครัวจะไม่ล้มเพราะเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบครั้งใหญ่ กำลังค่อยๆ เริ่มขึ้นจากคนในบ้านโรว์ลิงเอง
เมื่อโจอายุ 15 ปี แอนน์ โรว์ลิง แม่ของเธอ ได้รับการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการว่ากำลังป่วยเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis : MS) : MS เป็นโรคภูมิคุ้มกันที่ทำลายปลอกประสาท ส่งผลให้การควบคุมกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวค่อยๆ เสื่อมลงเรื่อยๆ โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด โดยเฉพาะในช่วงยุค 70s-80s ผู้ป่วยจะค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการเดิน พูด ทำงานบ้าน จนกระทั่งช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในที่สุด
“จริงๆ เธอมีสัญญาณมาตั้งแต่ตอนฉันอายุราวๆ 10-11 ปีแล้ว
เธอมักจะรู้สึกชาที่ปลายมือและเท้าอยู่บ่อยๆ เธอเดินทรงตัวไม่ค่อยได้
และพออาการเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจไปพบแพทย์
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นอะไรมาก แต่สุดท้าย..
หลังจากทดสอบอยู่เกือบปี ผลก็ออกมา..
คุณเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เสียใจด้วย”
J.K. Rowling ให้สัมภาษณ์ใน A Year in the Life, 2007
เมื่ออาการแย่ลงเรื่อยๆ แอนน์จึงต้องลาออกจากงาน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่โจกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น แม่ที่เธอบอกว่าเป็นเซฟโซนเดียวในชีวิต ตอนนี้กำลังค่อยๆ กลายเป็นเงาที่อยู่ในบ้าน เธอเดินไม่ไหว พูดได้น้อยลง ไม่สามารถดูแลลูกสาวได้เหมือนเดิม เด็กสาววัยรุ่นที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความเงียบงัน ความทุกข์และการถดถอยทางกายของคนที่รักมากที่สุด ผลักดันให้โจหันไปสู่โลกนิยายมากขึ้น เธอใช้มันเป็นที่หลบภัยส่วนตัวและตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เงียบๆ - ลึกๆ โจอาจปรารถนาว่าจะมีพลังวิเศษหรือเวทมนตร์อะไรที่จะช่วยให้แม่หายกลับมาเป็นปกติได้บ้าง นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของกฏเหล็กในจักรวาลโลกเวทมนตร์ของเธอ ซึ่งผ่านการตกผลึกจากเหตุการณ์ในช่วงวัยรุ่นว่า ไม่มีเวทมนตร์ใดจะช่วยชุบชีวิตคนตายให้กลับมาได้หรอก
แม้บ้านจะยังไม่ล้มละลาย พ่อมีการงานที่มั่นคงกับโรลส์-รอยซ์ แต่การมีผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่ในบ้าน ก็หมายถึงค่าใช้จ่ายที่กำลังงอกเพิ่มขึ้น แม้จะไม่มีการพูดออกมาตรงๆ แต่ เจ.เค.โรว์ลิง ก็ยอมรับในภายหลังว่าสถานการณ์ในตอนนั้น บ้านเธอต้องใช้ชีวิตแบบระแวดระวังกันมาก
นโยบายตัดเงินรัฐสวัสดิการของอังกฤษในยุคของแทตเชอร์ มีผลทางอ้อมแต่ลึกซึ้งกับชีวิตของโจแอนน์ โดยเฉพาะในเรื่อง การดูแลแม่ที่กำลังนอนป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียง แทตเชอร์ตัดงบสวัสดิการของกระทรวงสาธารณสุข การดูแลผู้ป่วย การส่งเสริมสุขภาพ ถูกแปรรูปให้ภาคเอกชนเข้ามาให้บริการแทน ครอบครัวชนชั้นกลางอย่างโรว์ลิงไม่ได้มีเงินมากพอจะจ้างคนให้มาดูแลแม่ และก็ไม่ได้ยากจนพอที่ภาครัฐจะเข้ามาช่วยอุ้ม หลายครอบครัวชนชั้นกลางจึงมักจบลงที่ต้องดูแลกันเองในบ้าน
เจ.เค.โรว์ลิงไม่เคยพูดชัดเจนว่าเธอโทษนโยบายของแธตเชอร์ แต่เธอเคยทวิตข้อความเมื่อปี 2005 ว่า "ฉันเข้าใจดีว่าความยากจนและการไม่มีรัฐคอยช่วยเหลือมันกดความเป็นมนุษย์ของคนๆ หนึ่งลงได้มากแค่ไหน" - เธอเห็นความเหลื่อมล้ำที่กว้างขึ้นมากับตา บ้านที่มีผู้ป่วยติดเตียงต้องดูแลโดยขาดการเหลียวแลจากภาครัฐ ความรู้สึกที่ถูกกดทับนี้สะท้อนอยู่ในโลกเวทมนตร์เช่นกัน : กระทรวงเวทมนตร์ที่รัฐมนตรีห่วงแต่คะแนนความนิยม ใช้คนในระบบปกปิดความจริง (เช่นไม่ยอมรับการกลับมาของโวลเดอมอร์) ระบบที่ดีต้องดูแลกลุ่มคนชายขอบและไม่มีปากเสียง ต่อให้คนในครอบครัวรักกันมากแค่ไหน แต่ถ้าโครงสร้างและระบบทางสังคมไม่ช่วยสนับสนุน คนที่รักกันก็อาจดูแลกันไม่ไหว
เหมือนพ่อของโจ ที่แม้จะทำงานหนักมากเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้แม่หายหรือดูแลโจกับน้องสาวได้ดีเท่าที่ควร ความสัมพันธ์ของโจกับพ่อเริ่มเลวร้ายมากขึ้นหลังจากแม่ล้มป่วย
“ฉันกลัวคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก แต่มันก็เหนื่อยเช่นกัน
ฉันเคยพยายามที่จะทำให้เขายอมรับฉันให้ได้
รวมทั้งพยายามทำให้เขามีความสุข
แต่สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้
ฉันยอมรับว่าไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้เลยจริง”
J.K. Rowling ให้สัมภาษณ์ใน A Year in the Life, 2007
แม้ครอบครัวโรว์ลิงจะไม่ยากจน ไม่ล้มละลายและพ่อไม่ถูกเลิกจ้าง แต่การป่วยของแม่ภายใต้ยุคที่รัฐกำลังรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ก็ทำให้พวกเขาต้องดูแลตัวเองมากขึ้นและประสบการณ์นี้แทรกซึมเข้าไปกลายเป็นแนวคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำ การละทิ้งกลุ่มผู้เปราะบางและการตั้งคำถามต่ออำนาจในโลกเวทมนตร์ของเธอ
โดยภาพรวม อังกฤษช่วงปลายยุค 70s ไม่ได้ใจดีกับใครมากนัก เศรษฐกิจหอบหืด โรงงานแผ่วลง เสียงประท้วงยังค้างในอากาศ ในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่ เชปสโตว์ แม่ของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งเริ่มป่วยเป็น MS โรคที่ไม่มีใครมาเสกให้หายขาดได้ ชีวิตของโจแอนน์ โรว์ลิงในช่วงมัธยมจึงโตมากับความจริงสองชั้น : ชั้นนอกคือประเทศที่รัฐหดตัวและงานหดหาย ชั้นในคือบ้านที่ต้องยืนให้ได้ทั้งที่หัวใจกำลังสั่นคลอน เธอไม่มีไม้กายสิทธิ์ มีแค่ปากกา สมุดหนึ่งเล่ม เพลงกอธในวอล์คแมน รถเก่าของเพื่อนและป่าดีนที่เดินเข้าไปแล้วเงียบพอให้ได้ยินเสียงตัวละครในหัว
โจเริ่มเขียนทุกอย่างที่คิดได้ลงไปใบหน้ากระดาษ เรื่องราวที่เราไม่มีทางรู้จนบัดนี้ว่าเธอมีไอเดียหรือแนวคิดอะไรบ้างในตอนนั้น แต่คงมีรายชื่อจากป้ายหินในสุสาน เรื่องราว ตำนานลึกลับในป่าดีนอยู่ด้วยแน่นอน โจไม่ได้เขียนบนความเพลิดเพลิน แต่เขียนเพื่อหลบหลีกจากโลกความจริงอันหนักหน่วงที่กำลังบีบรัดเธอเข้ามา วันไหนเครียดก็เขียน วันไหนบ้านเงียบเกินไปก็เขียน กระบวนการเหล่านี้เป็นการฝึกทักษะการเขียนให้กับโจแอนน์โดยไม่รู้ตัว
แต่ไม่ใช่แค่งานเขียน โจก็เหมือนกับพวกเราทุกคนที่ล้วนต้องผ่าน "วัยว้าวุ่น" กันมาก่อน ฌอน แฮร์ริส เพื่อนสนิทชายพร้อมกับรถฟอร์ดแองเกลียสีฟ้าอ่อนคู่ใจ เขาชวนโจขับรถหนีออกจากหมู่บ้าน ไปให้ไกลพอจะหายใจได้คล่องขึ้น สัมผัสถึงความอิสระในช่วงเวลาที่เรามักจะหงุดหงิดและหัวร้อนง่ายที่สุดในชีวิต ความทรงจำนี้ยังคงอยู่กับโจจนถึงวันที่เธอกลายเป็น เจ.เค.โรว์ลิง รถฟอร์ดแองเกลียบินได้ของนายวีสลีย์ในเล่มห้องแห่งความลับ คือ ความทรงจำสีจางๆ ที่ถูกใส่ลงไปในโลกเวทนตร์ แถมยังทำหน้าที่พาแฮร์รี่หนีออกมาจากบ้านที่น่าอึดอัดของพวกเดอร์สลีย์ แม้จะเพียงชั่วครู่ก็ตาม
ช่วงกลางวัยมัธยม โจจัดการเปลี่ยนลุคส์ตัวเองเล็กน้อย ผมฟูฟ่องและอายไลนเนอร์ดำเข้มแบบ ชูซี ซิอูซ์ (Siouxsie Sioux) เพลงสไตล์พังก์ที่อาจดังพอจะกลบเสียงสะอื้นบางอย่าง แฟชั่นในแบบที่ไม่ใช่การค้นหาคำตอบ แต่เป็นเกราะที่กำลังจะบอกใครต่อใครว่า ฉันขอเลือกเส้นทางในแบบของฉัน และเป็นการย้ำกับตัวเองว่า ฉันยังมีอะไรบางอย่างในชีวิตที่ควบคุมได้ ความขบถอันแผ่วเบานี้แฝงอยู่ในตัวละครของเธอเช่นกัน - เจ้าเด็กแว่นแผลเป็นรูปสายฟ้า ที่จะไม่ยอมถูกกลืนไปกับพวกอีลิธ ไม่ว่าจะถูกยกยอมากแค่ไหนก็ตาม
เสาร์-อาทิตย์โจหายเข้าไปในป่าดีนกับน้องสาว เสียงกรวดใต้รองเท้าและลมหายใจของป่าทำหน้าที่เหมือนห้องสมุดที่ไม่มีวันปิดทำการ เธอคุยกับตัวละครในหัวขณะเดินไปตามเส้นทางในป่า จับอารมณ์ ขยับเปลี่ยนฉาก บางครั้งก็ได้ภาพฉับพลัน ดาบซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบกลางป่า ฉากกลางคืนที่หนาวจนถ้อยคำมีไอควันขาวพ่นออกมาปาก ป่าดีนไม่ใช่เพียงแค่ฉากหลังในโลกเวทมนตร์ แต่มันเป็นเครื่องมือช่วยจัดระเบียบอารมณ์ให้กับโจ และเป็นโรงงานผลิตบรรยากาศอันเงียบขรึม มีมนต์ขลัง ที่จะกลายมาเป็นลายเซ็นของเจ.เค.โรว์ลิงในอนาคต
ไวย์ดีนแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำสำหรับโจ แต่ก็ยังมีห้องสมุดและชมรมภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศส คุณครูคอยช่วยผลักดันให้เด็กหญิงโจส่งประกวดเรียงความหรือสุนทรพจน์ ระบบบ้านในไวย์ดีนผลักให้โจได้บทนำที่ต้องคอยรับผิดชอบคนอื่นอย่างหัวหน้านักเรียนหญิง เธอได้เห็นโครงสร้างของสถาบันการศึกษา บ่มเพาะความหมกมุ่นกับระบบมากกว่าบุคคล ก่อกำเนิดเป็นกระทรวงเวทมนตร์ทั้งในแง่ระบบโครงสร้างและสถาปัตยกรรม ความเฉื่อยชาเรื้อรัง ไปจนถึงการปิดหูปิดตาในคราวที่รัฐมนตรีใช้อำนาจเกินขอบเขต
เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดคู่ขนานไปกับบ้านโรว์ลิงที่กำลังเปราะบาง ความสัมพันธ์กับพ่อไม่ดี แม่กำลังถดถอยจากโรคที่ไม่มีวันรักษาให้หายขาด โจได้รับบทเรียนที่ถือว่าโหดพอสมควรตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม : เวทมนตร์เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคบางอย่างให้หายขาดได้ ความรักอย่างเดียวไม่พอถ้าระบบไม่คอยสนับสนุนโดยเฉพาะเมื่อประชาชนกำลังอ่อนแรง
เมื่อถอยหลังออกมาดูภาพรวม เห็นชัดมากว่าช่วงวัยรุ่นของเจ.เค.โรว์ลิงนั้นไม่น่าพิศมัย ออกจะหดหู่ด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้ดราม่าตรงๆ แบบหนังชีวิตรันทด มีการต่อชิ้นส่วนเล็กๆ ให้กลายเป็นประตูหนีไฟ ปากกากับกระดาษที่ยังทำให้เธอหายใจได้ รถเก่าของเพื่อนที่ช่วยหลบหลีกความวุ่นวายได้ชั่วคราว เพลงกอธของซิอูห์ที่ช่วยให้เธอปลดปล่อยอารมณ์พร้อมกับบุหรี่ดีๆ สักมวน ป่าดีนที่ช่วยขัดเกลาอารมณ์และความคิดของโจแอนน์ แต่ละชิ้นส่วนทำหน้าที่ของมันอย่างเงียบๆ ก่อนจะย้ายไปอยู่ในนิยายโดยที่ผู้แต่งไม่เคยประกาศออกมาตรงๆ ว่า "นี่มาจากชีวิตจริงของฉัน"
กระแสเฟมินิสต์ระลอกสอง (second wave feminism)
เมื่อเอ่ยชื่อ เจ.เค.โรว์ลิง อีกคำหนึ่งที่มักจะโผล่มาคู่กัน คือ เฟมินิสต์ (feminist) เธอยอมรับตรงๆ ผ่านรายการ Podcast เมื่อปี 2023 ว่า
"ฉันเริ่มเป็นเฟมินิสต์ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ประมาณอายุ 20 ต้นๆ ฉันเคยอ่านเรื่องราวของ Kate Milich และ Simone de Beauvoir แน่นอนว่าพวกเธอตายไปแล้วล่ะ ตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือของพวกเธอ มันจุดประกายให้ฉันรู้สึกตระหนักอย่างลึกซึ้ง ถึงชะตากรรมที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่ในโลกตะวันตก แต่หมายถึงผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากฉันด้วย
รูปแบบเฉพาะของวัฒนธรรมที่ฉันเติบโตขึ้นมา ความเป็นผู้หญิงทำให้พวกเรามักจะถูกคุกคามและกดดัน ด้วยบางเรื่องอย่างจำเพาะเจาะจง และเราต้องการการปกป้อง การป้องกัน ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวกับเพศสภาพของเราทางชีววิทยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของเราได้ เรามักถูกขัดขวางเมื่อพยายามจะอธิบายว่าพวกเรามีอะไรที่แตกต่างจากผู้ชายอย่างสิ้นเชิง
เฟมินิสต์ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเสมอในกระแสสังคมหลัก พวกเธอน่าเกลียด ไม่โกนขนรักแร้ ก้าวร้าวและป่าเถื่อน และฉันคิดว่าเห็นความคล้ายกันนี้กับคำว่า TERF ที่คนบางกลุ่มเอามาใช้เรียกพวกเฟมินิสต์ในปัจจุบัน แต่ต้นเหตุหลักก็ยังเหมือนเดิม คือ การพยายามโจมตีเฟมินิสต์ ผู้หญิงกลุ่มที่ไม่ยอมทำตัวให้สมกับความเป็นผู้หญิงอย่างที่พวกเขาคาดหวังจะให้เป็น (อยู่เงียบๆ สงบปากสงบคำ อย่าแสดงความเห็น) - คุณเห็นไหมว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือเรื่องเดิมๆ นั่นล่ะ"
ช่วงวัยรุ่นของโจแอนน์ ตรงกับการเกิดกระแสเฟมินิสต์ระลอกสองในอังกฤษ ซึ่งไม่ได้กระจุกอยู่แค่ที่ลอนดอน แต่ลามไปถึงเมืองชายขอบอย่างเชปสโตว์ด้วย คำขวัญ "เรื่องส่วนตัวก็คือการเมือง (The personal is political)" ไม่ได้แปลว่าต้องขึ้นรถแห่เพื่อไปถือป้ายเดินขบวน แต่มันหมายความว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ตั้งแต่ในบ้าน ร่างกาย กระเป๋าเงิน ถือเป็นประเด็นทางการเมืองทั้งสิ้น
ปี 1975 รัฐสภาอังกฤษเพิ่งประกาศใช้กฏหมายฉบับใหญ่ที่จะกระทบชีวิตของผู้หญิงในชีวิตประจำวัน : Equal Pay Act, Sex Discrimination Act 1975 ทำให้การเลือกปฏิบัติทางเพศในที่ทำงานและการศึกษาเป็นเรื่องผิดกฏหมาย, Employment Protection Act 1975 วางรากฐานสิทธิการลาคลอด ระบบวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิดและการทำแท้งถูกกฏหมาย - ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ หากแต่ความเป็นจริงคือ กฏหมายเดินหนึ่งก้าวแต่อคติถอยไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
การได้มาร์กาเร็ต แธตเชอร์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในปี 1979 ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นชัยชนะของผู้หญิง แต่แนวทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของเธอไม่ได้อิงหรือเอื้อต่อกระแสเฟมินิสต์เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งมาตรการตัดงบรัฐสวัสดิการของเธอ ยังผลักภาระการดูแลคนป่วย คนชราและเด็กเล็กให้กลับไปตกบนบ่าของผู้หญิงมากกว่าเดิมเสียอีก ดังที่เห็นได้ชัดจากครอบครัวโรว์ลิงเอง โจแอนน์วัยรุ่นได้เห็นชัดว่า "ผู้หญิงมักจะต้องเข้ามารับภาระอย่างเงียบๆ อยู่เสมอ" - ภาพนี้ส่งต่อไปถึง มอลลี่ วีสลีย์ ที่แทบจะค้ำบ้านโพรงกระต่ายด้วยภาระหน้าที่ซึ่งมักจะถูกสบประมาทว่าก็เป็นแค่แม่บ้าน
ในอีกด้านหนึ่งของกระแสเฟมินิสต์ระลอกสอง การมาของนิตยสารที่ชื่อว่า Spare Rib : คือ หนึ่งในนิตยสารเฟมินิสต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสหราชอาณาจักร ก่อตั้งขึ้นในปี 1972 ท่ามกลางกระแสคลื่นเฟมินิสต์ที่กำลังมาแรงในยุโรปและอเมริกาเหนือ ณ ช่วงเวลานั้น จุดยืนของนิตยสารชัดเจนมาก คือ ต้องการสร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถวิพากษ์ วิจารณ์ บอกเล่าและกำหนดนิยามชีวิตของตนเองได้โดยไม่ถูกตีกรอบด้วยภาพฝันหวานแบบนิตยสารผู้หญิงกระแสหลัก ซึ่งมักเน้นแต่เรื่องแฟชั่น ความงามและการเป็นแม่บ้าน
เนื้อหาของ Spare Rib มีความหลากหลายมาก ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการเมือง เพศสภาพ สิทธิการทำแท้ง ไปจนถึงศิลปะ วรรณกรรมและเรื่องเล่าชีวิตประจำวันของผู้หญิง บทความจำนวนมากมีน้ำเสียงตรงไปตรงมา แหลมคมและมักตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจที่กดทับผู้หญิงในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ที่ทำงาน หรือรัฐ
ชื่อ “Spare Rib” เองก็เป็นสัญลักษณ์ในเชิงการท้าทาย โดยเล่นกับความหมายของ Spare Rib แปลไทยตรงๆ คือ "ซี่โครงที่เหลือ" มันโยงไปถึงเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ที่ว่าผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาจากซี่โครงของผู้ชาย นิตยสารจึงใช้ชื่อที่ประชดประชันเพื่อพลิกกลับมายืนยันว่า ผู้หญิงไม่ใช่เพียงส่วนที่เหลือ แต่คือปัจเจกที่มีเสียง มีพลัง และมีคุณค่าของตนเอง
นอกจาก Spare Rib แล้วยังมี The Feminine Mystique : ปัญหาที่ไร้ชื่อและการเกิดใหม่ของเฟมินิสต์ หนังสือซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1963 โดยนักเขียนข่าวชาวอเมริกันนามว่า Betty Friedan - หนังสือเล่มนี้กลายเป็นชนวนสำคัญที่ปลุกกระแสเฟมินิสต์คลื่นลูกที่สองในสหรัฐฯ เนื้อหาของมันวิพากษ์อุดมการณ์ที่กดทับผู้หญิงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเชิดชูบทบาท “แม่บ้านและภรรยา” ว่าเป็นความสมบูรณ์สูงสุดของชีวิตผู้หญิง
Friedan เรียกสิ่งนี้ว่า “มายาคติสตรีเพศ” (feminine mystique) และชี้ให้เห็นว่าเบื้องหลังบ้านสวยและครอบครัวในอุดมคติ ผู้หญิงจำนวนมากกลับเผชิญสิ่งที่เธอเรียกว่า “ปัญหาที่ไร้ชื่อ”—ความว่างเปล่า เบื่อหน่าย และการสูญเสียความเป็นตัวตน แม้พวกเธอจะทำตามแบบแผนของสังคมอย่างครบถ้วนก็ตามอิทธิพลของ The Feminine Mystique นั้นรุนแรงและส่งผลเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแค่ติดอันดับเป็นงานเขียนขายดี แต่ยังกลายเป็นกระจกสะท้อนชีวิตผู้หญิงในช่วงยุค 60s และผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหวเฟมินิสต์ในหลายมิติ ทั้งสิทธิแรงงานหญิง การเข้าถึงการศึกษา สิทธิในการคุมกำเนิดและการทำแท้ง
แม้จะเกิดขึ้นในบริบทต่างกัน แต่ทั้ง Spare Rib และ The Feminine Mystique ต่างก็เป็นหมุดหมายสำคัญของเฟมินิสต์คลื่นลูกที่สอง อันหนึ่ง คือ หนังสือที่ทำหน้าที่ปลุกสำนึกมวลชนในสหรัฐฯ ให้เปิดโปง “ปัญหาที่ไร้ชื่อ” และตั้งคำถามต่อมายาคติที่ผูกชีวิตผู้หญิงไว้กับครอบครัว อีกหนึ่ง คือนิตยสารที่ทำหน้าที่ สร้างพื้นที่ให้เสียงของผู้หญิงในอังกฤษได้ถกเถียง แลกเปลี่ยน และท้าทายภาพจำจากสื่อกระแสหลัก แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่สาระสำคัญเหมือนกัน คือ ทั้งคู่ต่างตอกย้ำว่า ผู้หญิงไม่ควรถูกจำกัดความหมายของชีวิตเพียงบทบาทที่สังคมยัดเยียด แต่ควรได้เป็นเจ้าของเสียงและทางเลือกของตนเอง
ปรากฏการณ์ของหนังสือและนิตยสารเหล่านี้ เป็นสิ่งการันตีว่ากระแสเฟมินิตส์ระลอกสองนั้นถูกทำให้เป็นประเด็นการเมืองระหว่างประเทศด้วย มันไม่ได้อยู่ในแค่เมืองหลวงอย่างลอนดอน มันเดินเข้าสู่บ้านเรือน ผ่านทีวี ชั้นหนังสือของโรงเรียน หน้าร้านขายหนังสือ ผ่านบทสนทนาที่โต๊ะอาหารทุกเย็น
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดกับโจแอนน์ มันไม่ได้เป็นแบบเส้นตรงอย่าง "การหยิบนิตยสารหรือหนังสือเกี่ยวกับเฟมินิสต์ขึ้นมาอ่านสักเล่มหนึ่ง เพื่อจะได้กลายเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรี" แท้จริงแล้วมันอาจเป็นความซับซ้อนหลายๆ ชั้นที่อยู่ในตัวตนของเธอมาตั้งแต่เด็ก โจแอนน์ในวัยรุ่นเริ่มตระหนักว่าสิทธิทางกฏหมายไม่เท่ากับความจริงที่ปรากฏอยู่ เวลารัฐกำลังถดถอย ผู้หญิงและกลุ่มเปราะบางมักต้องจ่ายภาษีทางอารมณ์เพิ่มอยู่เสมอ ประเด็นที่น่าจะกระแทกใจเธอที่สุด คือ ผู้หญิงเป็นได้ทั้งคนเก่ง อ่อนโยน โหดร้าย ผิดพลาดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้ใครมาชี้นิ้วบอก
เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ จึงถูกเขียนขึ้นมาไม่ให้เป็นผู้ช่วยของแฮร์รี่ แต่เป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จะช่วยแฮร์รี่ทำภารกิจได้สำเร็จ ครูผู้หญิงมีทั้งดีและร้าย บางคนมาจากระบบของส่วนราชการที่ชอบใช้อำนาจบงการผู้อื่น อาจกล่าวได้ว่า กระแสเฟมินิสต์ระลอกสองไม่ได้มอบคาถาอะไรให้ เจ.เค.โรว์ลิง แต่มันให้ กรอบเลนส์เพื่อให้เธอได้ศึกษาดูว่า ใครถูกทำให้เงียบ ใครถูกระบบใช้งานฟรี และวาทกรรมสวยหรูอันไหนสมควรต้องถูกทดสอบในชีวิตจริง
จึงไม่แปลกที่โลกเวทมนตร์ของเธอจึงเต็มไปด้วยคำถามมากกว่าคำขวัญ แต่มันช่างแหลมกว่าเสียงตะโกนเสียอีก
..To be continue..