9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566
การลงโทษที่แฮร์รี่ได้รับหลังจากเขาลุกขึ้นบอกความจริงว่าโวลเดอมอร์กลับมาแล้ว ในชั้นเรียนคาบแรกของศาสตราจารย์อัมบริดจ์ ที่ผ่านมาเรามักจะพุ่งประเด็นไปที่การใช้อำนาจเกินขอบเขตของครูในโรงเรียน รวมทั้งวิธีการลงโทษที่หลายครั้งก็รุนแรงและสร้างบาดแผลทางจิตใจให้ติดตัวเด็กไปจนโต
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่แฝงอยู่และพวกเราอาจมองข้ามไปนั่นคือ การใช้อำนาจเพื่อปิดปากคนที่กำลังพูดความจริง (อย่างแฮร์รี่) เพียงเพราะว่าความจริงนั้นมันโหดร้ายและยากเกินกว่าที่บุคคลหรือกลุ่มคนเหล่านั้นจะยอมรับมันได้
ในกรณีนี้.. โดโลเรส อัมบริดจ์ถูกฟัดจ์ส่งมาให้ประจำการที่ฮอกวอตส์ เพื่อคอยสอดส่องและจับตาดูความเคลื่อนไหวของดัมเบิลดอร์ ซึ่งเธอหมายรวมไปถึงบุคคลใกล้ชิดเขาอย่างแฮร์รี่ แฮกริดรวมถึงมักกอนนากัลด้วย เธอมาเพื่อคอยสอดส่องให้กับกระทรวงฯ ว่าจะยังคงสามารถปิดปากนักเรียนและพวกคุณครูไม่ให้พูดถึงการกลับมาของโวลเดอมอร์ได้ต่อไป รวมทั้งการเข้าควบคุมชั้นเรียนที่มีความสำคัญอย่างวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดนั้น เป็นหลักประกันชั้นดีว่าดัมเบิลดอร์จะไม่ “ซ่องสุม” กำลังเพื่อเตรียมจัดตั้งกองทัพนักเรียนไปโค่นล้มกระทรวงฯ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ล้วนเป็นความวิตกกังวลไปเองเพียงฝ่ายเดียวของฟัดจ์และอัมบริดจ์ ผู้ซึ่งกลัวว่าสาธารณชนจะรู้ความจริงที่พวกเขาพยายามปฏิเสธ เพียงเพราะหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย ซึ่งสงบสุขมานานกว่าสิบสามปีแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่ฟัดจ์เลือกจะทำ คือการสั่ง “ปิดปาก” ทุกคน ไปจนถึงการ “คว่ำบาตร” คนที่เสียงดังอย่างดัมเบิลดอร์และแฮร์รี่ให้หมดความน่าเชื่อถือ
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ หลายท่านอาจจะเริ่ม “เอ๊ะ!” ขึ้นมาในใจกันบ้างแล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้ มันคุ้นๆ เหมือนกันนะ
ผมเชื่อว่าแต่ละท่านก็จะตีความหรือเชื่อมโยงไปหาเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่ท่านเคยประสบมาด้วยตนเองหรือเห็นผ่านๆ ตาตามหน้าสื่อ แต่สำหรับผม แน่นอนผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ เจ.เค.โรว์ลิง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2020 เป็นต้นมา ที่เธอถูกกล่าวหาว่า “เหยียดคนข้ามเพศ” จากการออกมาพูดความจริงในทำนองที่ว่า “เพศกำเนิดมัน (sex) มีอยู่จริงและมันมีความแตกต่างระหว่างเพศกำเนิดที่คุณไม่สามารถเปลี่ยนมันไม่ได้”
การพูดความจริงเพียงแค่นั้นถูกเอาไปขยายความต่อทันทีว่าเธอลบตัวตนของคนข้ามเพศ ซึ่งตามมาด้วยเรื่องราวต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน ที่พยายามเชื่อมโยงและใส่ร้ายเธอว่าเป็น transphobia บ้าง TERF บ้าง ไปจนถึงการใช้คำหยาบคายด่าทอเธอ และร้ายแรงที่สุดคือการคุกคามความเป็นส่วนตัว
เพราะโรว์ลิงพูดความจริงเธอจึงต้องถูกลงโทษ – แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถูกจับให้คัดลายมือแบบแฮร์รี่หรอก - แต่มาด้วยการด่าทอ ใส่ร้ายและป้ายสี ทั้งจากสื่อและโลกออนไลน์ ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จเสียด้วย ในช่วงแรกที่ดราม่านี้เริ่มกระพือ คนเกือบทั้งโลกเชื่อไปแล้วว่าโรว์ลิงเหยียดเพศจริงๆ และตามมาด้วยการคว่ำบาตร ทำให้เธอเป็นคนไม่มีความน่าเชื่อถือ เหมือนกับที่ฟัดจ์พยายามทำกับดัมเบิลดอร์และแฮร์รี่ แต่โลกความจริงที่อุบาวท์กว่า คือการพยายามลบและแยกโรว์ลิงออกจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วย
และเหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้อยู่ราวเกือบปีกว่าๆ (ช่วง 2020 – 2022)
ความน่าสนใจอีกอย่างที่ผมพบ คือ สิ่งที่เกิดในโลกความจริง เส้นเรื่องมันดันเหมือนและคล้ายกับในแฮร์รี่เลย เมื่อเล่มภาคีนกฟินิกซ์ดำเนินเรื่องไปจนถึงตอนกลาง ก็มีเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นมา ข่าวการแหกคุกอัซคาบันครั้งใหญ่ (บทที่ 25 แมลงปีกแข็งออกโรง) ส่วนในโลกความจริงของเรา มันคือ ช่วงกลางปี 2022 เป็นช่วงที่หลายๆ คนเริ่มจะมองเห็นและเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่โรว์ลิงออกมาพูดนั้นคืออะไร ยกตัวอย่างเช่น ข่าวนักกีฬาข้ามเพศที่ไปลงแข่งว่ายน้ำกับผู้หญิงและเอาชนะได้ทุกสนาม (ก็แหงสิวะ!) หรือ ข่าวขององค์กร Mermaids ที่ถูกจับโป๊ะจนได้ว่ากระทำเรื่องอื้อฉาวต่อเยาวชนโดยการล่อลวงให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ - เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้หลายคนซึ่งเคยเข้าใจว่าโรว์ลิงเหยียดคนข้ามเพศ เริ่มหันกลับมาตั้งคำถามว่าสิ่งที่โรว์ลิงเคยออกมาพูดนั้นคืออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น... หลังจากการแหกคุกอัซคาบันครั้งใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่ก็จัดการให้แฮร์รี่ได้นัดสัมภาษณ์กับริต้า สกีตเตอร์ เพื่อให้เขาเล่าความจริงทั้งหมด รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาเจอในสุสานลิตเติ้ลแฮงเกิลตั้น เผื่อเอาไปลงเดอะ ควิบเบลอร์ - ซึ่งพอผมลองนั่งคิดเทียบดู เหตุการณ์นี้มันก็เทียบเคียงได้กับการที่โรว์ลิงให้สัมภาษณ์กับ Megan Phelps-Roper เมื่อตอนต้นปี 2023 ใน Podcast ชุด The Witch Trials of J.K.Rowling เหมือนกันนะ ซึ่งในการสัมภาษณ์นั้นเธอได้ออกมาเปิดใจและเล่าทุกแง่มุมทุกอย่างให้เราฟัง ทั้งที่มาว่าทำไมเธอจึงสนใจเรื่องนี้ และทำไมเธอจึงมีจุดยืนแบบนี้
บางคนอาจบอกว่าโรว์ลิงคือคนที่มาก่อนกาล แต่สำหรับผม มันไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย เธอยังคงเหมือนเดิม ยึดถือมุมมองและความเชื่อตามที่เธอเคยเขียนลงไปในหนังสือ นั่นคือ “การยืนอยู่ข้างความจริง”
ขณะที่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่โจมตีและพร่ำบอกว่าเธอทรยศ เธอหักหลังในสิ่งที่เธอเคยเขียนลงไป
Friedman จึงบอกไงว่า “คิดว่าตัวเองโตมาเป็นเฮอร์ไมโอนี่ แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นโดโลเรส อัมบริดจ์ต่างหาก”
เรียบเรียงบทความโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง