23 สิงหาคม พ.ศ. 2565
ผมเห็นว่า “ความคิดของเขาไม่ผิด แต่เขาทำผิด”
เพอร์ซี่นั้นเรียนเก่ง เขาสอบได้ที่หนึ่ง เป็นพรีเฟ็คและประธานนักเรียน ความทะเยอทะยานของเขาคือการได้เข้าทำงานในกระทรวง เป็นลูกชายต้นแบบอย่างที่แม่คาดหวัง นางวีสลีย์มักจะยกเขามาเปรียบเทียบและบอกให้เฟร็ดกับจอร์จเอาแบบอย่างเพอร์ซี่อยู่เสมอ แฟนๆ หลายคนมอง (ซึ่งก็อาจถูก) ว่าเพอร์ซี่นั้นเป็นลูกชายคนโปรดของนายและนางวีสลีย์
แต่คุณต้องไม่ลืมว่ายังไงพวกเขาก็เป็นวีสลีย์ ซึ่งมีปัญหาใหญ่คือยากจน แถมยังมีลูกเยอะ เราอาจนึกภาพได้ว่าเพอร์ซี่เองก็ต้องใช้ของต่อจากบิลและชาร์ลี สวมเสื้อคลุมมือสอง เลี้ยงหนูสแคบเบอร์ จนเมื่อเขาได้เป็นพรีเฟ็ค แม่ถึงซื้อนกฮูกและเสื้อคลุมตัวใหม่ให้เขาเป็นรางวัล (ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมรอนต้องรับของมือสองไปใช้ต่อแทน : ทั้งหนูสแคบเบอร์และไม้ของชาร์ลี)
รอนเองก็แสดงให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ ว่าเขารู้สึกอึดอัดกับความจนของครอบครัว เพอร์ซี่(และเด็กวีสลีย์คนอื่นๆ) ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาขยันและตั้งใจเรียน เขาคงคิดเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ ที่อยากหลุดออกจากกับดักความยากจนนี้ในสักวันหนึ่ง
หลังจบจากฮอกวอตส์ - ด้วยรางวัลเกียรติยศและผลการเรียนยอดเยี่ยม - เพอร์ซี่ได้เข้าทำงานในกองความร่วมมือด้านเวทมนตร์ระหว่างประเทศ เด็กหนุ่มเพิ่งจบใหม่ไฟแรงกระโจนตัวเองเข้าสู่งานชิ้นแรกที่ใครๆ ต่างฟังแล้วก็รู้สึกว่า “ไม่ได้น่าสนใจ” อย่างการทำรายงานเรื่องควาหนาของหม้อใหญ่
เมื่อการประลองเวทย์ไตรภาคีเริ่มขึ้น เจ้านายของเขา (บาร์ทีเมียส เคร้าช์ : หัวหน้ากองฯ) อยู่ๆ ก็เริ่มมีปัญหา (ซึ่งพวกเรารู้ดีว่าเพราะอะไร) แต่นั่นได้เป็นการเปิดโอกาสให้เพอร์ซี่ได้เข้ามารับผิดชอบงานสำคัญๆ แทนนายเคร้าช์ ซึ่งมันอาจเป็นเหมือนการเติมเชื้อไฟแห่งความทะเยอทะยานของเพอร์ซี่ให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม เด็กจบใหม่แต่ได้จัดการงานของหัวหน้ากอง มันเป็นความรับผิดชอบที่เกินตัวของเพอร์ซี่ไปมาก แต่เขาก็สามารถจัดการมันได้เป็นอย่างดี
หลังการประลองเวทย์ไตรภาคีสิ้นสุดลง เพอร์ซี่ได้รับข้อเสนอใหม่จากสำนักงานรัฐมนตรี ข้อเสนอที่สอดรับกับความทะเยอทะยานของเขาอย่างมาก นั่นคือการให้เขาได้ย้ายไปประจำในห้องทำงานของคอร์นิเลียส ฟัดจ์ กับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี - ตำแหน่งนี้ใหญ่เกินตัวและประสบการณ์ของเพอร์ซี่เป็นอย่างมาก เราต้องไม่ลืมว่าเขาเพิ่งจบจากฮอกวอตส์ได้เพียงปีกว่าๆ เท่านั้น - เพอร์ซี่กลับไปบ้าน ตื่นเต้นกับข่าวใหญ่นี้และคาดหวังว่าทุกคนจะยินดีกับเขา แต่ผลลัพธ์มันกลับออกมาตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
พวกเราต่างรู้กันดีว่าการเลื่อนตำแหน่งของเพอร์ซี่นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ฟัดจ์เพิ่งแตกหักกับดัมเบิลดอร์
ฟัดจ์ในตอนนี้ได้หวาดระแวงว่าดัมเบิลดอร์กำลังหาทางเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาไปแล้ว และฟัดจก็รู้ดีว่าพวกวีสลีย์นั้นสนิทกับดัมเบิลดอร์และแฮร์รี่ พอตเตอร์มากเพียงใด
แน่นอนว่าอาเธอร์ วีสลีย์ ย่อมรู้ดีว่าการเลื่อนตำแหน่งให้กับเพอร์ซี่ในครั้งนี้ ฟัดจ์มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่แน่นอน ซึ่งเขาเชื่ออย่างสุดใจว่าฟัดจ์พยายามจะหลอกใช้เพอร์ซี่ให้เป็นสายลับคอยสอดแนมความเคลื่อนไหวของดัมเบิลดอร์ผ่านครอบครัววีสลีย์
คำอธิบายของอาเธอร์เต็มไปด้วยความหวังดี แต่ไม่ใช่สำหรับเพอร์ซี่ ซึ่งตอนนี้เขาคิด (แบบเข้าข้างตนเอง) ว่าเขานั้นสมควรได้รับตำแหน่งนี้เพราะผู้ใหญ่เห็นความสามารถที่เขาสามารถจัดการงานแทนนายเคร้าช์ได้เป็นอย่างดี และเพราะเพอร์ซี่เป็นลูกชายคนโปรดมาตลอด ที่ผ่านมาเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เป็นดั่งที่พ่อแม่คาดหวัง และเขาก็ทำมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม่เองก็ชื่นชมยกยอเขาอยู่เสมอ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่เพอร์ซี่ต้องพบว่าความพยายามที่เขาเพียรทำมาตลอดนั้น กำลังถูกขัดขวางจากคนในครอบครัวซึ่งคอยสนับสนุนและให้ท้ายเข้ามาตลอด ความตื่นเต้นและความทะเยอทะยานที่กำลังลุกโชน ได้ถูกดับลงในพริบตาจากคำอธิบายของนายวีสลีย์ผู้เป็นพ่อ
แล้วการสนทนาก็กลายเป็นการโต้เถียง นายวีสลีย์ผู้ซึ่งไม่ค่อยขึ้นเสียงกับใครในบ้านกลายเป็นว่าเขาได้ขึ้นเสียงกับลูกชายตนเองในแบบที่ไม่เคยทำกับลูกคนไหนมาก่อน สุดท้ายความอดทนของเพอร์ซี่ก็หมดลง เขาโกรธจนคุ้มคลั่งและระบายความในใจที่เก็บไว้ตลอดออกมา
“เขาว่าเขาต้องดิ้นรนเพื่อต่อสู้กับชื่อเสียงเสียๆ ของพ่อตั้งแต่เข้าไปทำงานที่กระทรวงแล้ว และว่าพ่อน่ะไม่มีความทะเยอทะยานเลย นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเราถึงได้ - นายก็รู้ - ไม่มีเงินมากๆ กับเขาเสียที แล้วยิ่งแย่กว่านั้นนะ เขาบอกว่าพ่อน่ะปัญญาอ่อนที่วิ่งตามดัมเบิลดอร์แบบนี้ เขาว่าดัมเบิลดอร์กำลังมุ่งหน้าไปเจอเรื่องลำบากครั้งใหญ่ แล้วพ่อก็จะล่มจมไปกับเขาด้วย ส่วนเขาเอง – เพอร์ซี่ - รู้ดีว่าความจงรักภักดีของเขาควรอยู่ที่ไหน ต้องที่กระทรวงแน่นอน และถ้าแม่กับพ่อยังทำตัวเป็นคนทรยศกระทรวงต่อไป เขาก็จะทำให้แน่ใจว่าทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวเราอีกแล้ว”
รอน วีสลีย์ บทที่ 4 : เลขที่สิบสอง กริมโมลด์เพลซ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ภาคีนกฟินิกซ์
ความคิดของเพอร์ซี่อาจดูน่ารังเกียจ แต่อย่างผมจั่วหัวไว้ตอนแรก แต่ถ้าถามว่าเขาผิดไหมที่เขาคิดแบบนี้ ผมตอบได้เลยว่า “ไม่” คุณลองนึกภาพเด็กอายุ 19 ปีที่เพิ่งจบใหม่ ขยัน เอาจริงเอาจัง มีความทะเยอทะยาน และเพิ่งได้รับข้อเสนอให้เข้าไปทำงานใกล้ชิดบุคคลระดับสูงอย่างรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ตำแหน่งที่ใครก็ตามซึ่งมีความทะเยอะทะยานสูง (แบบเพอร์ซี่) ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้แน่นอน
อีกอย่างเราต้องไม่ลืมว่า ความจริงที่เรารู้กันนั้นถูกเล่าผ่านมุมมองจากพวกวีสลีย์คนอื่นๆ ซึ่งต่างรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับแฮร์รี่ในคืนของภารกิจที่สาม แต่เพอร์ซี่เป็นวีสลีย์คนเดียวที่นั่งทำงานอยู่กระทรวง เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น (จริงๆ เขามีโอกาสจะได้รู้ แต่เพราะความทะเยอทะยานในตัวกำลังพุ่งอย่างรุนแรง และน่าจะเป็นอัตตาของเขาด้วย ซึ่งตอนนี้มันได้บดบังสติและความคิดของเขาไป)
หลังจากแยกตัวเองออกมาจากครอบครัว เพอร์ซี่ยังเขียนจดหมายมาหารอน (ยาวแค่ไหน คุณลองไปอ่านเล่ม 5 ดู) แนะนำโดยนัยให้เขาตัดความสัมพันธ์กับแฮร์รี่ และไปร่วมมือกับโดโลเรส อัมบริดจ์แทน – บางทีเพอร์ซี่อาจลืมไปแล้วกระมังว่าแฮร์รี่ก็เคยช่วยชีวิตน้องสาวของเขาออกมาจากห้องแห่งความลับ – แน่นอนว่ารอนฉีกจดหมายทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
สุดท้ายฟัดจ์ก็ยอมรับความจริงและประกาศให้สาธารณชนทราบถึงการกลับมาของลอร์ด โวลเดอมอร์ แต่ถึงกระนั้นเพอร์ซี่ก็ต้องใช้เวลาเพื่อต่อสู้กับตัวเอง เขาเพิ่งได้พบว่าสิ่งที่เขาเชื่อและภักดีมาตลอดอย่างกระทรวงไม่ได้ดีหรือยอดเยี่ยมอย่างที่เขาเคยคาดหวัง ขณะที่คำเตือนของครอบครัว – ซึ่งเขาเคยมองว่าปัญญาอ่อน – กลับกลายเป็นเรื่องจริง คนทะเยอทะยานแบบเพอร์ซี่จึงต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่เพื่อยอมรับว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นผิดเกือบทั้งหมด
ก่อนเริ่มการรบที่ฮอกวอตส์เพียงไม่นาน เพอร์ซี่ก็กลับมาร่วมรบกับครอบครัว เขายอมรับว่าตนเองนั้น “งี่เง่า ปัญญาอ่อน ขี้เท่อจอมอวดดี ปัญญานิ่ม กระหายอำนาจ ละทิ้งครอบครัวเพื่อกระทรวง” (สามประโยคหลังมาจากเฟร็ด) หลังจากพยักหน้ารับ เฟร็ดก็เป็นคนแรกที่ต้อนรับเขากลับมา – แต่เพอร์ซี่ไม่ได้รู้เลยว่าคืนนั้นจะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับเฟร็ด น้องชายคนที่เคยแกล้งและสร้างความรำคาญให้กับเขามาตลอดหลายสิบปี
ปล. จากการที่ลองวิเคราะห์เรื่องของเพอร์ซี่ ทำให้เพิ่งได้เห็นว่าบ้านวีสลีย์เองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะเมื่อมีข้อจำกัดเรื่องเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมลูกๆ บ้านนี้ถึงต้องแข่งขันกัน นอกจากจะอยากให้แม่ยอมรับแล้ว รางวัลก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พวกเขาอยากได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สิ่งของที่ส่งต่อกันเป็นทอดๆ (หนังสือเรียน สัตว์เลี้ยง เสื้อคลุม ไม้กายสิทธิ์ ฯลฯ)
เรียบเรียงบทความโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง