มีมนุษย์หมาป่าอยู่ทั่วโลก และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขามักจะถูกรังเกียจจากชุมชนผู้วิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขามักจะปลีกตัวเองออกไปจากสังคม กลุ่มแม่มดและพ่อมดที่พยายามตามล่าหรือศึกษาสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้มีโอกาสเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีมากกว่ามักเกิ้ลเสียอีก ในช่วงศตวรรษที่ 19 ตอนปลาย ศาสตราจารย์มาร์โลว์ ฟอร์แฟงก์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์หมาป่า เป็นคนแรกที่ศึกษาพฤติกรรมของพวกมันอย่างครอบคลุม เขาพบว่ามนุษย์หมาป่าเกือบทุกตัวที่นำมาศึกษาและตั้งคำถามเพื่อขอข้อมูล ส่วนใหญ่เป็นพ่อมดมาก่อนที่จะถูกกัด เขายังได้ทราบจากพวกมนุษย์หมาป่าด้วยว่า “รสชาด” ของมักเกิ้ลนั้นแตกต่างจากพ่อมด และส่วนใหญ่พวกนั้นมักเสียชีวิตทันทีจากบาดแผลที่ถูกกัด ในขณะที่พ่อมดแม่มดสามารถรอดชีวิตจากการถูกกัดได้
กระทรวงเวทมนตร์มีนโยบายเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าที่ยุ่งยากและไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง กองมนุษย์หมาป่าสัมพันธ์ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1637 ซึ่งเปิดให้มนุษย์หมาป่ามาลงทะเบียนพร้อมกับให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายผู้อื่นโดยให้พวกเขาขังตัวเองในแต่ละเดือน - ช่วงพระจันทร์เต็มดวง - เพื่อความปลอดภัย
ไม่น่าแปลกอะไรที่ไม่มีใครมาลงทะเบียนเลย ไม่มีใครอยากเดินเข้าไปในกระทรวงเพื่อประกาศว่าตัวเองเป็นมนุษย์หมาป่าหรอก จากปัญหานี้จึงทำให้การลงทะเบียนมนุษย์หมาป่าเป็นความยุ่งยากและเป็นเวลาหลายปีที่การลงทะเบียนมนุษย์หมาป่า - ซึ่งต้องการให้พวกเขามาลงชื่อและข้อมูลส่วนตัว - ยังคงไม่เสร็จสมบูรณ์และไม่มีความน่าเชื่อถือ มนุษย์หมาป่าจำนวนมากที่เพิ่งถูกกัดใหม่ๆ พยายามที่จะปกปิดสภาพของตนเอง พวกเขาเลือกที่จะหลบหนีความอัปยศนี้และเนรเทศตัวเองออกไปจากสังคม
มนุษย์หมาป่าถูกปรับเปลี่ยนให้อยู่ระหว่างแผนกสัตว์และแผนกสิ่งมีชีวิตชั้นสูงในกองออกระเบียบและควบคุมสัตว์วิเศษเป็นเวลาหลายปี เพราะไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ว่ามนุษย์หมาป่าควรจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับมนุษย์หรือสัตว์วิเศษดี จนถึงจุดหนึ่งจึงจัดให้หน่วยลงทะเบียนและจับกุมมนุษย์หมาป่าอยู่รวมกันในแผนกสัตว์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่หน่วยช่วยเหลือมนุษย์หมาป่าถูกตั้งขึ้นในแผนกสิ่งมีชีวิตชั้นสูง - ไม่มีใครเสนอตัวมาช่วยทำงานให้กับหน่วยช่วยเหลือนี้ ด้วยเหตุผลคล้ายๆกันที่ว่า แทบจะไม่มีใครมาติดต่อที่หน่วยนี้เลยสักคน ทำให้หน่วยถูกยุบไปในที่สุด
การจะเป็นมนุษย์หมาป่า แน่นอนว่าจะต้องถูกกัดโดยมนุษย์หมาป่าที่กำลังบ้าคลั่งในคืนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อน้ำลายของมนุษย์หมาป่าได้เข้าสู่กระแสเลือดของเหยื่อแล้ว การติดเชื้อก็จะเกิดขึ้นในที่สุด
มีหลายตำนานและเรื่องเล่าของมักเกิ้ลที่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าและโดยส่วนมากเป็นเรื่องไม่จริง แม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวความจริงบางส่วนปรากฏอยู่บ้าง อย่างเช่น กระสุนเงินนั้นไม่สามารถฆ่ามนุษย์หมาป่าได้ แต่ถ้าใช้ผงเงินผสมกับหัวน้ำมันดิตทานีแล้วโปะลงบนแผลสดของเหยื่อที่เพิ่งถูกกัดจะช่วยให้เหยื่อมีชีวิตรอดได้ (แม้จะมีเรื่องที่น่าเศร้าว่า เหยื่อส่วนใหญ่ยอมที่จะขอรับความตายมากกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะมนุษย์หมาป่า)
ในช่วงศตวรรษที่ 20 ครึ่งหลัง น้ำยาหลายชนิดถูกคิดค้นขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากการกลายร่างให้บรรเทาลง น้ำยาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ น้ำยาวูลฟ์เบน
การกลายร่างในแต่ละเดือนของมนุษย์หมาป่าสร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมากถ้าไม่ได้รับการรักษา ซึ่งมักจะนำไปสู่อาการซีดเซียวและอาการเจ็บป่วยในอีกสองสามวันให้หลัง ขณะที่เขาหรือเธออยู่ในช่วงกลายร่าง มนุษย์หมาป่าจะสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ในการแยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิดโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มันไม่ถูกต้องที่จะกล่าวว่าพวกเขาจะสูญเสียความรู้สึกทางศีลธรรมอย่างถาวร (เหมือนอย่างที่นักวิชาการบางคนกล่าวไว้ โดยเฉพาะศาสตราจารย์เอมเมอเร็ค พีคาร์ดี้ ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า หมาป่าที่ไร้จิตสำนึก : ทำไมมนุษย์หมาป่าไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่) เมื่อเป็นคนปกติ มนุษย์หมาป่าอาจเป็นคนที่ใจดีมีเมตตาต่อคนรอบข้าง ในขณะที่อีกทางหนึ่งพวกเขาก็อาจเป็นอันตรายแม้จะอยู่ในร่างตอนเป็นมนุษย์ก็ตาม อย่างกรณีของเฟนเรีย เกรย์แบ็ก ผู้ที่พยายามกัดและทำร้ายเหยื่อให้ถึงตาย จนถึงขั้นที่เขาหมั่นฝนเล็บให้คมอยู่เสมอเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ
ถ้าถูกมนุษย์หมาป่าในร่างมนุษย์โจมตี เหยื่ออาจจะมีอุปนิสัยบางอย่างของหมาป่าเกิดขึ้นมา แต่เป็นลักษณะที่ไม่รุนแรงและดุร้าย เช่น การชอบกินเนื้อสัตว์แบบดิบมาก แต่ไม่มีผลกระทบร้ายแรงอื่นๆในระยะยาว เว้นแต่รอยกัดและรอยขีดข่วนที่มนุษย์หมาป่าทำไว้จะทิ้งรอยแผลเป็นอย่างถาวร (ไม่ว่าจะถูกโจมตีในตอนที่กลายร่างหรือตอนเป็นคนปกติก็ตาม)
เมื่ออยู่ในร่างของสัตว์ เราแทบแยกไม่ออกระหว่างมนุษย์หมาป่ากับหมาป่าจริง แม้ในความเป็นจริงมนุษย์หมาป่าจะมีจมูกที่สั้นและรูม่านตามีขนาดเล็กกว่าหมาป่าปกติ (ทั้งหมาป่าและมนุษย์หมาป่ามีลักษณะดังกล่าวเล็กกว่ามนุษย์) และหางจะสั้นมากกว่าหมาป่าทั่วไปที่หางจะฟูและชี้ตรง
ความแตกต่างที่แท้จริงคือ หมาป่าแท้ๆ ไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวและนิทานพื้นบ้านจำนวนมากที่เล่าถึงพวกมันในฐานะผู้ล่าซึ่งตอนนี้นักวิชาการพ่อมดเข้าใจว่าพวกนั้นคือมนุษย์หมาป่าไม่ใช่หมาป่าจริง หมาป่าจะไม่โจมตีมนุษย์เว้นแต่ในกรณีพิเศษ ในขณะที่เป้าหมายของมนุษย์หมาป่าคือพวกมนุษย์โดยเฉพาะและพวกมันไม่ค่อยเป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเท่าใดนัก
มนุษย์หมาป่าโดยทั่วไปจะสืบพันธุ์โดยการโจมตีมนุษย์คนอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์หมาป่า เป็นความอัปยศที่มนุษย์หมาป่าต้องแบกรับมานานหลายศตวรรษ มีมนุษย์หมาป่าส่วนน้อยมากที่ได้แต่งงานและมีลูก และคนที่ได้แต่งงานพบว่าเขาไม่ได้ถ่ายทอดลักษณะของการเป็นมนุษย์หมาป่าไปยังลูกหลานของเขาเลยแม้แต่น้อย
ลักษณะรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องอยากรู้อยากเห็นก็คือ ถ้ามนุษย์หมาป่าสองคนพบและจับคู่ผสมพันธุ์กันในคืนพระจันทร์เต็มดวง (แทบไม่น่าจะเป็นไปได้แต่เป็นที่รู้ว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วสองครั้ง) ผลจากการจับคู่นั้นจะได้ลูกที่เป็นหมาป่าซึ่งมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าจริงทุกประการ เว้นแต่จะมีสติปัญญาที่สูงกว่าปกติ พวกมันจะไม่ก้าวร้าวมากนักเมื่อเทียบกับหมาป่าปกติและยังไม่แน่นอนว่าจะไม่โจมตีมนุษย์ ตัวอย่างที่หาพบได้ยากนี้ มีลูกมนุษย์หมาป่ากลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระภายในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความลับอย่างป่าต้องห้ามที่ฮอกวอตส์ ร่วมด้วยกับความเมตตาของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ลูกมนุษย์หมาป่าเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามและเป็นหมาป่าที่แสนฉลาด ปัจจุบันนี้บางตัวยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งกลายเป็นที่มาของเรื่องราวเกี่ยวกับ “มนุษย์หมาป่า” ในป่าต้องห้าม เรื่องราวที่ไม่มีอาจารย์หรือผู้รักษากุญแจคนใดพยายามจะกำจัดทิ้ง เพราะการป้องกันไม่ให้บรรดานักเรียนเข้าไปในป่าต้องห้าม เป็นเรื่องที่น่าจะดีกว่า
แปลไทยและเรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง