อัซคาบัน คุกสำหรับพ่อมดแม่มด ลักษณะเป็นป้อมปราการ ตั้งอยู่บนเกาะในทะเลเหนือ ควบคุมและดำเนินงานโดยกระทรวงเวทมนตร์ ก่อตั้งขึ้นราวๆ ศตวรรษที่สิบห้าและมันไม่ได้เป็นคุกตั้งแต่แรก เกาะนี้อยู่บริเวณตอนบนของทะเลเหนือเพื่อใช้เป็นป้อมปราการ มันถูกทำให้ไม่ปรากฏบนแผนที่ใดๆ ไม่ว่าจะของมักเกิ้ลหรือพ่อมด และเชื่อกันว่ามีการใช้เวทมนต์เพื่อสร้างและต่อเติมมันขึ้นมา
แต่เดิมป้อมปราการนี้เป็นบ้านของผู้วิเศษคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จักที่ชื่อว่า อีคริดิส (Ekrizdis) ไม่ปรากฏว่าเขาเป็นคนสัญชาติใด แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีเวทมนต์ที่ทรงพลัง เชื่อว่าอีคริดิสเป็นคนวิกลจริตและใช้ศาสตร์มืดในการทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ด้วยตนเอง ณ ใจกลางของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขาหลอกล่อ ทรมาณ และฆ่ากะลาสีเรือมักเกิ้ล ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำเพื่อความสนุก หลังจากที่เขาเสียชีวิต เวทมนต์ที่เสกไว้รอบๆ เกาะจึงเริ่มเสื่อมลง นั่นทำให้กระทรวงเวทมนตร์พบว่าบริเวณนั้นเป็นเกาะเล็กๆ และไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ ทุกคนที่เข้าไปสำรวจเกาะนั้นต่างปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงว่าบนเกาะนั้นมีอะไร แต่เสี้ยวหนึ่งของความน่าสะพรึงกลัวในสถานที่นั้นคือ มันกลายเป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คุมวิญญาณ
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า อัซคาบัน สถานที่อันชั่วร้ายนี้สมควรต้องถูกทำลายทิ้ง แต่อีกหลายคนก็ยังกังวลว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะมีผลกระทบตามมาหรือไม่ หากสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของผู้คุมวิญญาณถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้แข็งแกร่งและไม่มีใครสามารถฆ่ามันได้ หลายคนเกรงกลัวถึงผลกระทบอันน่าสยองขวัญถ้าหากพวกมันออกมาจากสถานที่แห่งนั้น ที่ซึ่งพวกมันอาศัยอยู่และแพร่พันธุ์มาอย่างยาวนาน เบื้องหลังกำแพงของสถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยเรื่องชั่วร้ายและความเจ็บปวด และสมควรที่จะให้ผู้คุมวิญญาณถูกจำกัดอยู่ภายในที่แห่งนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ทำการศึกษาสถานที่แห่งนี้รวมทั้งเวทมนตร์ดำที่อยู่รอบๆมัน ได้เสนอว่า อัซคาบัน อาจทำลายตัวมันเองลงไปในวันใดวันหนึ่ง โดยไม่ต้องพยายามให้ใครบางคนไปทำลายมัน ดังนั้นป้อมปราการจึงถูกทิ้งร้างไว้หลายปี และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ผู้คุมวิญญาณมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อบทบัญญัติปกปิดความลับนานาชาติถูกประกาศใช้ กระทรวงเวทมนตร์จึงตระหนักถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของกลุ่มนักโทษพ่อมดบางส่วนที่อยู่ตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆ ในตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ เนื่องจากพ่อมดแม่มดที่ถูกคุมขังพยายามที่จะก่อความวุ่นวายที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไรโดยใช้แสงและกลิ่นรบกวน ในตอนแรก มีแผนการสร้างคุกเพื่อคุมขังนักโทษบนเกาะเฮอร์ไบเดรียนที่อยู่ห่างไกลซึ่งแผนนี้ได้รับความเห็นชอบ แต่มันก็ตกไปเมื่อ ดาโมคลีส โรวว์ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์
โรวว์เป็นจอมเผด็จการ เขาก้าวสู่ตำแหน่งพร้อมกับแผนการต่อต้านมักเกิ้ล เขาใช้ประโยนช์จากความหวาดกลัวของชุมชนผู้วิเศษที่กำลังเข้าสู่สถานะต้องหลบซ่อนตัว ด้วยความซาดิสม์โดยธรรชาติของเขา โรวว์ฉีกแผนการสร้างคุกใหม่ทิ้งไปและยืนกรานให้ใช้อัซคาบันแทน เขาอ้างว่าสามารถใช้ประโยชน์จากผู้คุมวิญญาณที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นได้ พวกมันสามารถทำหน้าที่ได้เหมือนกับยาม อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลา ปัญหา และงบประมาณของกระทรวงอีกด้วย
แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านจากผู้วิเศษจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านผู้คุมวิญญาณและผู้ศึกษาประวัติด้านมืดของอัซคาบัน โรวว์ยังคงเดินแผนการของเขาต่อไปและการขนย้ายนักโทษไปยังสถานที่นั้นก็ค่อยๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ ไม่มีนักโทษคนใดได้กลับออกมาแม้แต่คนเดียว หากพวกเขาไม่เป็นบ้าหรือสติแตกก่อนจะเข้าไปในอัซคาบัน พวกเขาก็จะเป็นแบบนั้นในอีกไม่นานต่อมา
แผนงานของโรวว์ได้รับการสานต่อโดย เพอร์ซุส พาร์กินสัน ผู้ซึ่งมีนิสัยคล้ายกับคนที่เป็นต้นกำเนิดของอัซคาบัน เมื่อถึงเวลาที่ เอลดิช ดิกกอรี่ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์ คุกได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลาถึงสิบห้าปีแล้ว ไม่มีการแหกคุกหรือช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยแม้แต่น้อย คุกแห่งใหม่นี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพดีทีเดียว และมันก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น จนกระทั่งดิกกอรี่เดินทางไปเยี่ยมที่นั่นและเขาต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าสภาพภายในคุกนั้นเป็นอย่างไร นักโทษส่วนใหญ่เสียสติและยังมีหลุมศพตั้งอยู่เรียงรายสำหรับนักโทษที่ตายเพราะความหดหู่และสิ้นหวัง
เมื่อกลับถึงลอนดอน ดิกกอรี่ตั้งคณะกรรมการเพื่อสำรวจและหาแนวทางใหม่สำหรับอัซคาบัน หรืออย่างน้อยที่สุดคือการเอาผู้คุมวิญญาณออกจากการควบคุมนักโทษ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนอธิบายให้เขาฟังว่า เหตุผลเดียวที่ผู้คุมวิญญาณ (ส่วนใหญ่) ถูกจำกัดให้อยู่เฉพาะในเกาะนั้น เพราะว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาให้ดูดกินจิตวิญญาณเป็นอาหาร หากไม่มีนักโทษบนเกาะ พวกมันอาจจะทิ้งคุกและมุ่งมายังแผ่นดินใหญ่แทน
แม้ว่าจะมีคำแนะนำออกมาแบบนี้ ดิกกอรี่ยังคงหวาดกลัวกับสิ่งที่เขาเห็นภายในอัซคาบัน เขาจึงกดดันคณะกรรมการให้รีบหาแนวทางใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะหาทางออกที่เหมาะสมได้ ดิกกอรี่ก็เสียชีวิตด้วยโรคฝีมังกรเสียก่อน จากเวลานั้นจนถึงสมัยของ คิงส์ลีย์ ชักเคิลโบลต์ ไม่มีรัฐมนตรีคนใดที่คิดจะปิดอัซคาบันอย่างจริงจัง พวกเขาเผิกเฉยต่อสภาพความโหดร้ายภายในคุก ยอมให้มีการขยายพื้นที่ภายในด้วยเวทมนต์และนานๆ ทีจึงจะไปตรวจเยี่ยมที่แห่งนั้น เนื่องจากความกลัวต่อสภาพอันน่าสยดสยองของสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คุมวิญญาณนับพันตัว สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนใจเพียงแค่ความสมบูรณ์แบบของคุก ที่ไม่มีนักโทษคนไหนสามารถหลบหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว
หลังจากนั้นประมาณสามศตวรรษ ความสมบูรณ์แบบนั้นก็ถูกทำลายลง เด็กหนุ่มคนหนึ่งหลบหนีออกมาจากคุกได้ เมื่อเขาเปลี่ยนตัวกับแม่ที่มาเยี่ยมเขา บางสิ่งบางอย่างที่ตาบอดและปราศจากความรักอย่างผู้คุมวิญญาณไม่สามารถจับได้และไม่เคยคาดคิดมาก่อน การหลบหนีเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งฉลาดหลักแหลมและน่าประทับใจ เมื่อ ซิเรียส แบล็ก หลบหนีผู้คุมวิญญาณออกมาได้ด้วยตัวคนเดียว
ความเปราะบางของคุกปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนอีกครั้งในอีกสองปีต่อมา เมื่อเกิดการแหกคุกครั้งใหญ่ถึงสองครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้เสพความตาย ถึงตอนนี้ผู้คุมวิญญาณมอบความจงรักภักดีให้แก่ ลอร์ด โวลเดอมอร์ ผู้ซึ่งการันตีแก่พวกมันว่าจะมอบโอกาสและอิสรภาพให้ในแบบที่พวกมันไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ผู้คุมวิญญาณเป็นยามเฝ้าคุก ไม่ใช่แค่เหตุผลถึงความโหดเหี้ยมของพวกมันที่ทำต่อนักโทษ แต่ยังด้วยเหตุผลที่พวกมันอาจแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายตรงข้ามเหมือนกับสิ่งมีชีวิตศาสตร์มืดชนิดอื่นๆ
ภายใต้การบริหารงานของ คิงส์ลีย์ ชักเคิลโบลต์ อัซคาบันกลายเป็นที่ปลอดผู้คุมวิญญาณ มันยังคงถูกใช้เป็นคุก แต่ตอนนี้ยามเป็นกลุ่มมือปราบมาร ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้าจากแผ่นดินใหญ่ และไม่มีการแหกคุกเกิดขึ้นอีกเลย นับแต่การนำระบบใหม่นี้เข้ามาใช้
“ชื่ออัซคาบันมาจากคำสองคำผสมกัน คือ อัลคาทราซ เป็นชื่อคุกของมักเกิ้ลซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเหมือนกัน และคำว่า Abaddon ซึ่งเป็นภาษาฮิบบรูซึ่งมีความหมายว่าที่แห่งการจองจำหรืออเวจีนรก"
แปลไทยและเรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง