แม่มดสาวอิโซลด์ เซเยอร์ ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1603 เธอเติบโตขึ้นมาในหุบเขาคูมล็อกลา เมืองเคอร์รี่ ประเทศไอร์แลนด์ อิโซลด์เป็นทายาทของครอบครัวพ่อมดเลือดบริสุทธิ์จากสองตระกูลด้วยกัน
วิลเลียม เซเยอร์ พ่อของเธอเป็นทายาทสายตรงของมอร์ริแกน แม่มดชื่อดังชาวไอริชที่มีร่างแอนนิเมจัสเป็นอีกา วิลเลียมตั้งชื่อมอร์ริแกนให้เป็นชื่อเล่นของลูกสาว เพราะมันสอดคล้องกับนิสัยรักธรรมชาติรอบตัวของอิโซลด์ตั้งแต่เด็ก วัยเด็กตอนต้นของอิโซลต์นั้นแสนสุข เธอมีทั้งพ่อแม่ที่รักเธอและพวกเขายังคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านมักเกิ้ล โดยการปรุงยาวิเศษเพื่อให้พวกเขาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ รวมไปถึงพวกสรรพสัตว์ด้วย
เมื่ออิโซลด์อายุได้ห้าขวบ ครอบครัวของเธอถูกโจมตีและทำให้พ่อแม่ของเธอเสียชีวิต อิโซลด์ถูกช่วยชีวิตออกมาจากกองเพลิงโดย กอร์มเลธ ก๊อนท์ พี่สาวซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของแม่ กอร์มเลธรับอิโซลด์ไปอาศัยอยู่ในหุบเขาคูมคัลลีหรือที่รู้จักกันในชื่อ หุบเขาแห่งแม่มด และเลี้ยงดูเธอนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่ออิโซลด์โตขึ้นเธอจึงได้พบความจริงว่า คนที่ช่วยชีวิตเธอนั้นจริงๆ แล้วเป็นคนที่สังหารพ่อแม่ของเธอและลักพาตัวเธอมาต่างหาก กอร์มเลธเป็นคนวิกลจริตและอำมหิต เธอคลั่งในความเชื่อเลือดบริสุทธิ์และคิดว่าการที่น้องสาวของเธอคอยช่วยเหลือพวกมักเกิ้ลเพื่อนบ้านนั้นจะเป็นการเปิดทางให้อิโซลด์พลาดไปแต่งงานกับมักเกิ้ลได้ กอร์มเลธจึงเชื่อว่าการนำอิโซลด์มาเลี้ยงดูเองนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เธอกลับมาสู่เส้นทาง ที่ควรจะเป็น นั่นคือในฐานะทายาทของทั้งมอร์ริแกนและซัลลาซาร์ สลิธีริน เธอต้องแต่งงานกับพวกเลือดบริสุทธิ์ด้วยกันเท่านั้น
กอร์มเลธจัดการให้ตัวเองเป็นต้นแบบ ตามที่เธอคิดไปเองว่ามันจำเป็นต่ออิโซลด์ เธอบังคับให้เด็กสาวคอยดูเวลาที่เธอคอยสาปพวกมักเกิ้ลหรือสัตว์ตัวใดก็ตามที่เฉียดเข้ามาใกล้กระท่อมของพวกเขา ไม่นานคนในหมู่บ้านก็เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากบ้านของกอร์มเลธ และนับจากนั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่างอิโซลด์ที่มีต่อชาวบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกับเธอก็ได้เปลี่ยนไป เธอมักจะถูกพวกเด็กผู้ชายในหมู่บ้านรุมขว้างปาก้อนหินใส่ทุกครั้งเวลาที่เธอออกมาเดินเล่น
กอร์มเลธไม่ยอมให้อิโซลด์เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์เมื่อมีจดหมายมาถึงเธอ โดยอ้างเหตุผลง่ายๆ ว่า อิโซลด์จะสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าหากอยู่ที่บ้านแทนที่จะไปยังสถาบันที่มีแต่ความเท่าเทียมและเต็มไปด้วยพวกเลือดสีโคลน – แม้ว่ากอร์มเลธเองจะเคยเรียนที่ฮอกวอตส์มาก่อนก็ตาม และเธอก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนให้อิโซลด์ฟังก็มากมาย – เหตุผลหลักที่เธอคัดค้านก็เพราะเธอต้องการทำลายชื่อเสียงของโรงเรียนและเอาแต่คร่ำครวญถึงแผนการของซัลลาซาร์ สลิธีริน ที่ตั้งใจจะสร้างความบริสุทธิ์ให้กับสายเลือดผู้วิเศษ สำหรับอิโซลด์แล้ว การถูกโดดเดี่ยวและถูกทำร้ายจากป้า – คนที่เธอรู้ดีว่าหล่อนนั้นคุ้มดีคุ้มร้ายตลอดเวลา – ฮอกวอตส์ฟังดูเหมือนจะเป็นสวรรค์เลยทีเดียว และเธอก็ใช้เวลาตลอดช่วงชีวิตวัยรุ่นในการเฝ้าฝันถึงแต่สถานที่แห่งนั้น
เป็นเวลาถึงสิบสองปีที่กอร์มเลธบังคับอิโซลด์ – ทั้งร่วมมือกันและปล่อยให้เธอฉายเดี่ยว – ในการใช้มนตร์ดำที่ทรงพลังรูปแบบต่างๆ ในที่สุดเด็กสาวก็พัฒนาฝีมือมากขึ้นจนเธอรวบรวมความกล้าได้มากพอที่จะหลบหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้น เธอขโมยไม้กายสิทธิ์ของป้ามาเพราะเธอไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีไม้กายสิทธิ์เป็นของตนเอง และของอีกสิ่งหนึ่งที่อิโซลด์นำติดตัวมาด้วยคือเข็มกลัดทองปมกอร์เดียน ซึ่งมันเคยเป็นของแม่เธอมาก่อน จากนั้นเธอจึงหลบหนีออกมาจากไอร์แลนด์
เพราะหวาดกลัวว่าจะถูกตามล่าและการสะกดรอยอันเก่งกาจของกอร์มเลธ ในตอนแรกอิโซลด์จึงหนีไปยังอังกฤษ แต่จากนั้นไม่นานกอร์มเลธก็สะกดรอยตามเธอมาทัน ตอนนี้อิโซลด์ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะหนีโดยไม่เกี่ยงว่าต้องใช้วิธีการใด ขอเพียงเพื่อให้แม่เลี้ยงไม่อาจหาตัวเธอพบได้อีก เธอตัดสินใจปลงผมทิ้งและปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มมักเกิ้ลโดยใช้ชื่อว่าอิเลียส สตอรี่ จากนั้นจึงออกเดินทางไปยังโลกใหม่พร้อมกับเรือเมย์ฟลาว์เวอร์ ในปีค.ศ. 1620
อิโซลด์มาถึงอเมริกาพร้อมกับมักเกิ้ลอพยพกลุ่มแรก (ชุมชนพ่อมดในอเมริกาเหนือเรียกมักเกิ้ลว่าโนแมจ ซึ่งมาจากคำว่า No Magic [ไม่มีเวทมนตร์] ) เมื่อมาถึงเธอก็หายตัวไปในหุบเขา ทิ้งให้เหล่าอดีตเพื่อนร่วมทางของเธอซึ่งรู้จักเธอในชื่อของ อิเลียส สตอรี่ค่อยๆ ตายจากไปด้วยความหนาวเย็นอันโหดร้ายเหมือนกับผู้อพยพอีกหลายๆ ชีวิต อิโซลด์ออกจากเมืองอาณานิคมแห่งใหม่ ไม่ใช่เพียงเพราะความหวาดกลัวที่กอร์มเลธอาจตามหาเธอจนพบอีกครั้ง แต่ยังรวมไปถึงเรื่องที่เธอพบเห็นมาระหว่างการเดินทางบนเรือเมย์ฟลาว์เวอร์ อิโซลด์พบความจริงที่ว่าคงไม่ดีนักถ้าแม่มดจะมองหามิตรภาพจากพวกพิวริตัน
ตอนนี้ราวกับว่าอิโซลด์ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในประเทศอันแสนยากลำบาก และเท่าที่รู้ในตอนนี้เธอเป็นแม่มดเพียงคนเดียวในรัศมีหลายร้อยหรือไม่ก็หลายพันไมล์ การศึกษาครึ่งๆ กลางๆ ที่เธอได้จากกอร์มเลธนั้นแน่นอนว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวกับชาวผู้วิเศษพื้นเมืองของอเมริกา อย่างไรก็ตาม หลังจากอยู่ตัวคนเดียวในหุบเขามาหลายสัปดาห์ เธอจึงได้พบกับสัตว์วิเศษสองชนิดที่เธอไม่เคยรู้จักพวกมันมาก่อน
ไฮน์บีไฮน์เป็นสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ในป่าและออกหากินตอนกลางคืน เหยื่อของพวกมันคือสิ่งมีชีวิตจำพวกมนุษย์ และเหมือนชื่อเรียกของพวกมัน (hid-behind) ไฮน์บีไฮน์สามารถพรางตัวของมันให้ซ่อนอยู่ด้านหลังของวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตได้เกือบทุกชนิด ทำให้มันสามารถหลบหลีกผู้ล่าและเหยื่อของมันได้อย่างสมบูรณ์ พวกโนแมจอาจพบเห็นไฮน์บีไฮน์ได้แต่พวกเขาไม่มีทางที่จะต่อสู้กับพวกมันได้ มีแต่แม่มดหรือพ่อมดเท่านั้นที่มีโอกาสรอดตายหากถูกพวกไฮน์บีไฮน์โจมตี
พัควัดจิเป็นสัตว์วิเศษพื้นเมืองของอเมริกาเช่นกัน พวกมันมีลักษณะลำตัวสั้น หน้าเทาและหูใหญ่ มีความใกล้ชิดกับพวกก็อบลินในยุโรป รักอิสระมาก เจ้าเล่ห์และไม่ค่อยชอบพวกมนุษย์สักเท่าไร (ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษหรือคนธรรมดา) อีกทั้งยังมีเวทมนตร์อันทรงพลังเป็นของตนเอง พัควัดจิออกล่าเหยื่อโดยใช้ลูกศรอาบยาพิษที่มีฤทธิ์แรงถึงชีวิตและพวกมันมักสนุกกับการหลอกล่อพวกมนุษย์
เมื่อสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้มาเจอกันในป่า ไฮน์บีไฮน์ซึ่งตัวใหญ่และแข็งแรงไม่เพียงแต่เพิ่งจะจับพัควัดจิตัวที่อายุยังน้อยและอ่อนประสบการณ์ได้เท่านั้น แต่ขณะที่มันเตรียมที่จะควักท้องเหยื่อของมัน ก็เป็นตอนนั้นเองที่อิโซลด์ร่ายคำสาปเพื่อไล่ไฮน์บีไฮน์ให้หนีไป และเพราะไม่รู้ว่าพัควัดจินั้นก็เป็นอันตรายกับมนุษย อิโซลด์จึงอุ้มพัควัดจิขึ้นมาและพามันไปยังที่พักชั่วคราว และเธอคอยดูแลมันให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม
ตอนนี้พัควัดจิประกาศว่าตนเองมีพันธะผูกพันที่จะต้องคอยติดตามอิโซลด์ไปจนกว่าเขาจะมีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของเธอ เขาถือว่ามันเป็นเรื่่องน่าอับอายอย่างมากที่ถูกช่วยชีวิตจากแม่มดสาวน่าโง่คนหนึ่งที่คิดจะเดินทางไปรอบๆ ประเทศที่แปลกประหลาดนี้ ซึ่งเธออาจถูกจู่โจมจากพวกไฮน์บีไฮน์หรือพัควัดจิได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ในแต่ละวันของอิโซลด์เต็มไปด้วยเสียงบ่นของพัควัดจิที่สูงเพียงแค่ระดับเท้าของเธอและกำลังเดินตามเธอมาอยู่ไม่ห่าง
แม้พัดวัดจิจะไม่สำนึกในบุญคุณ แต่อิโซลด์ก็พบว่าเขานั้นตลกดีและเธอก็ดีใจที่มีเขาเป็นเพื่อนร่วมทาง เมื่อเวลาผ่านไป มิตรภาพได้เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขาและก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระหว่างสองเผ่าพันธุ์นี้ และเพราะยังคงปฏิบัติตามกฎของเผ่าพันธุ์อย่างเข้มงวด พัดวัดจิปฏิเสธที่จะบอกชื่อจริงของเขาให้อิโซลด์รู้ เธอจึงเรียกเขาว่า “วิลเลียม” ตามชื่อพ่อของเธอ
วิลเลียมเริ่มพาอิโซลด์ไปรู้จักกับสัตว์วิเศษที่เขาคุ้นเคย ทั้งสองออกเดินทางด้วยกันเพื่อสำรวจการล่าเหยื่อของพวกโฮแด๊กหัวกบ ต่อสู้กับสนัลลีแกสเตอร์ – สัตว์วิเศษที่มีลักษณะคล้ายกับมังกร – และเฝ้าดูลูกแวมปัสแรกเกิดเล่นกันในยามรุ่งสาง
สำหรับอิโซลด์สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือการได้พบงูแม่น้ำมีเขาตัวใหญ่ซึ่งมีอัญมณีประดับอยู่ที่หน้าผาก งูนี้อยู่ในลำธารใกล้ที่พักของพวกเขา แม้ว่าพัควัดจิผู้นำทางของเธอจะหวาดกลัวเจ้าสัตว์ตัวนี้ แต่เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่ดูเหมือนงูแม่น้ำตัวนี้จะชอบอิโซลต์ และวิลเลียมยังรู้สึกพิศวงมากขึ้นเมื่ออิโซลต์บอกเขาว่าเธอเข้าใจทุกอย่างที่งูยักษ์มีเขานั้นพูดกับเธอ
อิโซลต์พยายามที่จะไม่บอกวิลเลียมว่าเธอรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดกับงูยักษ์ตัวนี้ รวมถึงเรื่องที่งูยักษ์พยายามบอกอะไรบางอย่างแก่เธอ อิโซลต์ย้อนกลับไปพบงูยักษ์ที่ลำธารหลายครั้งตามลำพังโดยไม่บอกพัควัดจิว่าเธอไปที่ไหน มีข้อความหนึ่งที่งูยักษ์บอกแก่เธอและไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย นั่นคือ “ต่อเมื่อฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเธอ เมื่อนั้นเองก็จะถึงวาระของครอบครัวเธอ“
เพราะอิโซลต์ไม่มีครอบครัว – เว้นแต่คุณจะนับกอร์มเลธที่อยู่ห่างออกไปในไอร์แลนด์ – ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจในถ้อยคำปริศนาที่งูยักษ์มีเขาบอก จริงๆ เธอเองก็ยังไม่มั่นใจตนเองเช่นกันว่าเธอคิดไปเองหรือไม่ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่งูกำลังพูดกับเธอจริงๆ
ในที่สุดอิโซลต์ก็ได้พบกับคนประเภทเดียวกันอีกครั้งจากเหตุการณ์อันน่าเศร้า วันหนึ่งขณะที่เธอและวิลเลียมกำลังเดินหาอาหารในป่า เสียงร้องอย่างหวาดกลัวดังขึ้นไม่ไกลจากพวกเขา วิลเลียมตะโกนบอกให้เธออยู่กับที่ในขณะที่เขาวิ่งผ่านหมู่แมกไม้ออกไป โดยมีลูกศรอาบยาพิษพร้อมอยู่ในมือ
อิโซลต์ไม่ทำตามที่วิลเลียมสั่งอย่างที่เป็นอยู่ประจำอยู่แล้ว เธอตามเขามาจนถึงลานโล่งเล็กๆ ในอีกไม่กี่อีดใจและได้พบกับภาพอันน่าสยดสยอง ไฮน์บีไฮน์ตัวที่เคยพยายามจะฆ่าวิลเลียมก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จมากกว่าเดิมในการสังหารมนุษย์ผู้ไร้เดียงสาสองคน ซึ่งตอนนี้นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น ที่แย่ไปกว่านั้น ยังมีเด็กผู้ชายสองคนนอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังรอคิวให้เจ้าไฮน์บีไฮน์จัดการควักไส้พ่อแม่ของพวกเขาให้เสร็จเรียบร้อยก่อน
พัควัดจิและอิโซลต์ช่วยกันปราบเจ้าไฮน์บีไฮน์ลงได้ในเวลาไม่นาน ซึ่งคราวนี้มันถูกทำลายอย่างสิ้นท่า ด้วยความปลาบปลื้มกับผลงานในยามบ่ายที่เพิ่งเสร็จไป พัควัดจิกลับไปเก็บลูกแบล็กเบอร์รี่ต่อโดยไม่สนใจเสียงร้องครวญครางของเด็กชายสองคนที่นอนอยู่บนพื้น เมื่ออิโซลต์ (ซึ่งโกรธมาก) บอกให้เขามาช่วยเธอพาเด็กสองคนนี้กลับไปที่บ้าน วิลเลียมก็ระเบิดอารมณ์ออกมาและบอกว่า “เด็กพวกนี้เหมือนได้ตายไปแล้วล่ะ และมันเป็นการละเมิดความเชื่อของเผ่าพันธุ์ของเขาที่จะให้การช่วยเหลือพวกมนุษย์ แต่อิโซลต์เป็นข้อยกเว้น เพราะเธอเคยช่วยชีวิตของเขาไว้“
ด้วยความโกรธในความไร้หัวใจของพัควัดจิ อิโซลต์บอกว่าเธอจะขอให้การที่เขามาช่วยชีวิตเด็กชายทั้งสองเป็นการตอบแทนหนี้บุญคุณของเธอ เด็กทั้งสองคนบาดเจ็บหนักจนอิโซลต์ไม่กล้าใช้การหายตัวกับพวกเขา เธอจึงยืนกรานให้แบกพวกเขากลับไปที่บ้าน แม้จะไม่เต็มใจแต่พัควัดจิก็ยอมแบกเด็กชายคนโตที่ชื่อว่าแชดวิก ส่วนอิโซลต์แบกคนน้องที่ชื่อว่าเว็บส์เตอร์กลับไปยังที่พักของเธอ
เมื่อถึงที่พัก อิโซลต์ซึ่งยังคงโกรธจัดได้บอกแก่วิลเลียมว่า เธอไม่จำเป็นต้องคอยให้เขาอยู่เคียงข้างแล้ว พัควัดจิจ้องเธอเขม็งอยู่พักหนึ่ง แล้วจากนั้นเขาก็หายตัวไป
อิโซลต์ยอมทิ้งเพื่อนคนเดียวของเธอเพื่อเด็กชายตัวเล็กสองคนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด อย่างไรก็ตาม โชคดีที่ทั้งสองรอดตาย อีกทั้งพวกเขายังทำให้อิโซลต์ทั้งประหลาดใจและดีใจ เมื่อเธอพบว่าเด็กทั้งสองนั้นมีเวทมนตร์
พ่อแม่ผู้วิเศษของแชดวิกและเว็บส์เตอร์ ได้พาพวกเขามายังอเมริกาเพื่อแสวงหาการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่พวกเขากลับพบจุดจบอันน่าเศร้าเมื่อทั้งครอบครัวเดินหลงเข้าไปในป่าและพบกับเจ้าไฮน์บีไฮน์ ด้วยความไม่คุ้นเคยกับสัตว์ชนิดนี้และเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นบ็อกการ์ตธรรมดา นายบูธพยายามทำท่าทางตลกใส่มันแต่นั่นก็ทำให้เกิดผลลัพธ์อันน่าสยดสยองอย่างที่อิโซลต์และวิลเลียมได้เห็น
เด็กชายทั้งสองบาดเจ็บสาหัสในช่วงสองสัปดาห์แรกจนอิโซลต์ไม่กล้าปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง แต่เธอก็ยังไม่สบายใจ เพราะความเร่งรีบจะช่วยเด็กทั้งสองเธอจึงยังไม่ได้ฝังศพพ่อแม่เด็กให้เรียบร้อย ในที่สุดเมื่ออาการของแชดวิกและเว็บสเตอร์เริ่มดีขึ้นพอที่จะปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพังได้สักสองสามชั่วโมง อิโซลต์จึงกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง โดยตั้งใจจะไปสร้างหลุมศพเพื่อให้เด็กชายทั้งสองได้กลับมาเยี่ยมในภายภาคหน้า
อิโซลต์ต้องประหลาดใจเมื่อเธอมาถึงลานโล่ง เมื่อเธอได้พบกับชายหนุ่มที่ชื่อว่าเจมส์ สจ๊วต เขามาจากเขตอาณานิคมพลีมัธเหมือนกับพวกบูธ เจมส์ได้รู้จักกับครอบครัวบูธระหว่างการเดินทางมายังอเมริกาเขาจึงเข้าป่ามาเพื่อตามหาพวกบูธ
ระหว่างที่อิโซลต์เฝ้าดู เจมส์ก็ทำป้ายหลุมศพที่เขาขุดด้วยมือเสร็จพอดี จากนั้นเขาก็หยิบไม้กายสิทธิ์พังๆ สองอันที่วางอยู่ข้างสามีภรรยาบูธขึ้นมาพลางขมวดคิ้วระหว่างที่สำรวจแกนเอ็นหัวใจมังกรที่ส่องประกายและยื่นออกมาจากไม้กายสิทธิ์ของนายบูธ แล้วเขาก็ลองตวัดไม้เล่นๆ แน่นอน.. เหมือนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเวลาที่โนแมจตวัดไม้กายสิทธิ์ ไม้นั้นต่อต้านทันที ทำให้เจมส์กระเด็นลอยถอยหลังข้ามลานโล่งไปชนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วเขาก็หมดสติไป
เจมส์ฟื้นขึ้นมาในที่พักเล็กๆ ซึ่งทำจากไม้และหนังสัตว์แล้วเขาก็พบว่าอิโซลต์กำลังรักษาแผลให้เขาอยู่ อิโซลต์ไม่สามารถซ่อนเวทมนตร์จากสายตาของเจมส์ได้ในที่คับแคบแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เธอต้องปรุงยาเพื่อรักษาสองพี่น้องบูธและเวลาที่ออกล่าสัตว์ อิโซลต์ตั้งใจว่าจะใช้คาถาลบความทรงจำของเจมส์เมื่อเขาหายดีแล้วและส่งเขากลับไปยังเขตอาณานิคมพลีมัธ
แต่ในช่วงเวลาแบบนี้กลับเป็นเรื่องน่ายินดีมากกว่าที่มีคนในวัยใกล้กันให้คอยพูดคุยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ใหญ่คนนั้นเข้ากับสองพี่น้องบูธได้ดี เจมส์นอกจากจะช่วยสร้างความบันเทิงให้กับเด็กๆ ระหว่างที่พวกเขากำลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้ว เขายังช่วยอิโซลต์สร้างบ้านหินที่ยอดเขาเกรย์ล็อคด้วย โดยเขาสามารถออกแบบโครงบ้านที่สามารถใช้งานได้จริง เพราะเขาเคยเป็นช่างก่ออิฐมาก่อนเมื่อตอนอยู่ในอังกฤษ ซึ่งนั่นทำให้ความฝันของอิโซลต์กลายเป็นจริงขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง อิโซลต์ตั้งชื่อบ้านใหม่ของเธอว่า อิลเวอร์มอร์นี ตามชื่อกระท่อมบ้านเกิดของเธอที่กอร์มเลธทำลายไป
อิโซลต์สาบานว่าจะลบความทรงจำเจมส์อยู่ทุกวัน แต่ในทุกๆ วันที่ผ่านไปความหวาดกลัวต่อเวทมนตร์ของเจมส์ก็ค่อยๆ ลดลงทีละน้อย จนในที่สุดดูเหมือนจะง่ายกว่าที่จะยอมรับว่าทั้งสองตกหลุมรักกัน แต่งงานกัน และลงเอยกันในที่สุด
อิโซลต์และเจมส์ยอมรับสองพี่น้องบูธเป็นลูกบุญธรรมของพวกเขา อิโซลต์เล่าเรื่องเกี่ยวกับฮอกวอตส์ให้เด็กทั้งสองฟังตามที่เธอได้ฟังมาจากกอร์มเลธอีกที ทั้งคู่อยากไปโรงเรียนมากและเฝ้าถามอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมทุกคนถึงไม่กลับไปไอร์แลนด์เพื่อจะได้รอรับจดหมายจากโรงเรียน อิโซลต์ไม่อยากให้เด็กๆ หวาดกลัวเรื่องราวของกอร์มเลธ แต่เธอสัญญากับพวกเขาว่าเมื่อพวกเขาอายุครบสิบเอ็ดปี เธอจะหาไม้กายสิทธิ์ให้พวกเขาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง (ไม้ของพ่อแม่เด็กทั้งสองพังเกินกว่าจะซ่อมได้) และพวกเขาจะเริ่มตั้งโรงเรียนสอนเวทมนตร์ขึ้นที่กระท่อมหลังนี้
ความคิดนี้ทำให้แชดวิกและเว็บส์เตอร์จินตนาการไปไกล จินตนาการของเด็กทั้งสองที่ว่าโรงเรียนเวทมนตร์ควรจะเป็นอย่างไรนั้นได้เค้าโครงมาจากฮอกวอตส์เกือบทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงยืนกรานว่าโรงเรียนควรมีสี่บ้าน แต่ความคิดที่ว่าจะตั้งชื่อบ้านตามชื่อของพวกเขาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนั้นถูกพับเก็บไปอย่างรวดเร็ว เพราะเว็บส์เตอร์รู้สึกว่าบ้านที่ชื่อ “เว็บสเตอร์ บูธ” นั้นฟังดูไม่มีโอกาสที่จะชนะอะไรได้เลยสักอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกสัตว์วิเศษที่พวกเขาชอบที่สุดมาตั้งเป็นชื่อบ้านทั้งสี่แทน แชดวิกซึ่งเป็นเด็กฉลาดแต่มักจะเจ้าอารมณ์อยู่บ่อยๆ เขาเลือกธันเดอร์เบิร์ด นกที่สามารถสร้างพายุได้เมื่อกระพือปีก ส่วนเว็บสเตอร์ที่ช่างถกเถียงแต่จงรักภักดีอย่างแนวแน่นั้นเลือกแวมปัส สัตว์วิเศษที่คล้ายรูปร่างคล้ายเสือดำ เป็นสัตว์ที่รวดเร็ว แข็งแรงและไม่ยอมตายง่ายๆ ส่วนอิโซลต์เลือกงูยักษ์มีเขา ซึ่งเธอยังคงแวะไปเยี่ยมเยียนมันอยู่บ้างเพราะรู้สึกถึงความผูกพันธ์กันอย่างน่าประหลาดใจ
ตอนที่ถูกถามว่าสัตว์ที่ชอบที่สุดคืออะไร เจมส์ตอบไม่ได้ โนเเมจเพียงคนเดียวของบ้านไม่สามารถเลือกสัตว์วิเศษที่สมาชิกคนอื่นๆ ของครอบครัวล้วนแต่รู้จักเป็นอย่างดี ในที่สุดเจมส์ก็เลือกพัควัดจิ เพราะเรื่องวิลเลียมเจ้าอารมณ์ที่ภรรยาของเขาเล่าให้ฟังนั้นทำให้เขาหัวเราะอยู่ทุกครั้ง
ดังนั้นบ้านทั้งสี่ของอิลเวอร์มอร์นีจึงได้ถือกำเนิดขึ้น และโดยที่ผู้ก่อตั้งทั้งสี่ไม่เคยรู้ตัว อุปนิสัยหลายๆ อย่างที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของพวกเขาได้ถูกซึมซับเข้าไปสู่บ้านที่พวกเขาได้ตั้งชื่อกันขึ้นมาเล่นๆ ในครั้งนี้
วันเกิดครบรอบสิบเอ็ดปีของแชดวิกใกล้มาถึงอย่างรวดเร็ว และอิโซลต์ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปหาไม้กายสิทธิ์ตามที่เคยได้สัญญาไว้กับแชดวิกได้อย่างไร เท่าที่เธอรู้ ไม้กายสิทธิ์ที่เธอขโมยมาจากกอร์มเลธนั้นเป็นไม้กายสิทธิ์เพียงอันเดียวในอเมริกาและเธอก็ไม่กล้าแยกชิ้นส่วนไม้เพื่อดูว่ามันถูกทำขึ้นมาได้อย่างไร และเมื่อเธอตรวจสอบไม้กายสิทธิ์ของพ่อแม่เด็กทั้งสองก็พบแต่เพียงเอ็นหัวใจมังกรและขนยูนิคอร์นที่เหี่ยวแห้งและตายไปนานแล้วอยู่ภายใน
ก่อนวันเกิดของแชดวิกหนึ่งวัน อิโซลต์ฝันว่าเธอเดินลงไปในลำธารเพื่อพบกับงูยักษ์ที่ยืดตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำและกำลังก้มหัวลงให้เธอ จากนั้นเธอจึงแกะเศษเขายาวๆ ออกมา เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด จากนั้นจึงเดินลงไปยังลำธาร
งูยักษ์มีเขารอเธออยู่ที่นั่น มันชูหัวขึ้นเหมือนกับที่เธอเห็นในความฝันไม่ผิดเพี้ยน อิโซลต์แกะเขาของมันออกมาชิ้นหนึ่ง กล่าวคำขอบคุณ แล้วก็กลับมาที่บ้านเพื่อปลุกเจมส์ คนที่มีความสามารถในการใช้หินและไม้เพื่อสร้างความงดงามให้กับกระท่อมของครอบครัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อแชดวิกตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เขาก็พบกับไม้กายสิทธิ์ที่ถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างประณีตจากต้นแอชมีหนามซึ่งมีเขาของงูยักษ์เป็นแกนภายใน ตอนนี้อิโซลต์และเจมส์ประสบความสำเร็จในการสร้างไม้กายสิทธิ์อันทรงพลังมากเป็นพิเศษขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อเว็บส์เตอร์อายุครบสิบเอ็ดปี ชื่อเสียงโฮมสคูลเล็กๆ ของครอบครัวก็แพร่กระจายออกไป มีพ่อมดรุ่นเยาว์อย่างน้อยสองคนจากเผ่าแวมพาโนค** มาขอเรียนด้วยและยังมีแม่มดกับลูกสาวอีกสองคนจากแนร์ราแกนเซท*** ทุกคนสนใจที่จะเรียนรู้เทคนิคการทำไม้กายสิทธิ์พร้อมกับแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะทางเวทมนตร์ของพวกเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับไม้กายสิทธิ์จากฝีมือของอิโซลต์และเจมส์ อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณแห่งการปกป้องบางอย่างบอกอิโซลต์ว่าให้เก็บแกนงูยักษ์มีเขาไว้ให้กับลูกชายบุญธรรมทั้งสองคนของเธอเท่านั้น เธอกับเจมส์เรียนรู้ที่จะใช้แกนแบบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ขนแวมปัส เอ็นหัวใจสนัลลีแกสเตอร์และเขากวางแจ็คคาโลพ
เมื่อถึงปี ค.ศ. 1634 โฮมสคูลแห่งนี้ก็เติบใหญ่เกินความคาดฝันอันพิสดารที่สุดของครอบครัวอิโซลต์ บ้านขยายใหญ่ขึ้นในทุกปีที่ผ่านไป มีนักเรียนเดินทางมามากขึ้น และแม้ว่าโรงเรียนจะยังมีขนาดเล็ก แต่ก็มีเด็กมากพอที่ทำให้ความฝันของเว็บส์เตอร์ที่อยากจัดการแข่งขันระหว่างบ้านเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่กระนั้น เนื่องจากชื่อเสียงของโรงเรียนยังไม่ขยายไปไกลกว่าชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันในท้องถิ่นและบรรดาผู้วิเศษชาวยุโรปที่มาตั้งถิ่นฐาน โรงเรียนจึงยังไม่ใช่โรงเรียนประจำ คนที่ค้างคืนอยู่ที่อิลเวอร์มอร์นีมีเพียงอิโซลต์ เจมส์ แชดวิก เว็บส์เตอร์และเด็กหญิงฝาแฝดที่อิโซลต์ได้ให้กำเนิดขึ้นมา ซึ่งก็คือ มาร์ธา (ตั้งชื่อตามแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วของเจมส์) และริโอนัค (ตั้งตามชื่อแม่ของอิโซลต์)
ครอบครัวที่แสนสุขและวุ่นวายไม่เคยรู้ตัวว่ากำลังมีอันตรายครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามาจากแดนไกล ข่าวแพร่กระจายไปถึงประเทศเก่าว่ามีการก่อตั้งโรงเรียนเวทมนตร์แห่งใหม่ขึ้นในแมสซาชูเซตส์ ข่าวลือยังบอกอีกว่าอาจารย์ใหญ่นั้นมีชื่อเล่นว่า ‘มอร์ริแกน’ ซึ่งตรงกับชื่อของแม่มดไอริชที่มีชื่อเสียง แต่กระนั้นกอร์มเลธก็ยังไม่เชื่อว่าอิโซลต์จะสามารถเดินทางไปจนถึงอเมริกาได้โดยไม่ถูกจับ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังแต่งงานกับชายที่ไม่ใช่แค่เป็นมักเกิ้ลบอร์นแต่เป็นมักเกิ้ลจริงๆ แล้วยังเปิดโรงเรียนเพื่อสอนบรรดาผู้วิเศษทุกคน แม้ว่าบางคนจะมีพลังเวทมนตร์เพียงแค่น้อยนิดก็ตาม เธอไม่เชื่อเลยจนกระทั่งเธอได้ข่าวว่าชื่อของโรงเรียนแห่งนี้คือ ‘อิลเวอร์มอร์นี’
กอร์มเลธซื้อไม้กายสิทธิ์อันใหม่มาจากร้านโอลลิแวนเดอร์สที่เธอแสนจะดูแคลนเพื่อนำมาใช้แทนไม้กายสิทธิ์อันมีค่ายิ่งของตระกูลซึ่งถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นก่อนที่อิโซลต์จะขโมยมันไป ด้วยความตั้งใจที่จะไม่ให้หลานของเธอรู้ตัวว่าเธอกำลังจะมาจนกว่าจะถึงตอนที่สายเกินไป เธอจึงเลียนแบบอิโซลต์ (โดยไม่รู้ตัว) ด้วยการปลอมตัวเป็นผู้ชายและเดินทางข้ามทะเลไปยังอเมริกาบนเรือโบนาเวนเจอร์ ร้ายกว่านั้น เธอเดินทางโดยใช้ชื่อของวิลเลียม เซเยอร์ ซึ่งเป็นชื่อของพ่ออิโซลต์ที่ถูกฆ่าไป กอร์มเลธขึ้นฝั่งที่เวอร์จิเนียแล้วเดินทางอย่างลับๆ จนไปถึงแมสซาชูเซตส์และหุบเขาเกรย์ล็อค เธอเดินทางมาถึงในฤดูหนาวคืนหนึ่งและเธอตั้งใจจะทำลายอิลเวอร์มอร์นีแห่งที่สองนี้ให้ราบคาบ พร้อมกับฆ่าตัวพ่อแม่ที่ทำลายความปรารถนาของเธอในการสร้างครอบครัวเลือดบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ จากนั้นจึงค่อยขโมยลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นคนสุดท้ายของสายเลือดอันศักดิ์สิทธิ์นี้ แล้วพาพวกเด็กๆ กลับไปยังหุบเขาแม่มด
ทันทีที่อาคารหินแกรนิตขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความมืดของยอดเขาเกรย์ล็อคปรากฎต่อหน้า กอร์มเลธไม่รอช้าพร้อมกับส่งคำสาปอันทรงพลังที่ประกอบด้วยชื่อของอิโซลต์และเจมส์ตรงไปยังบ้านเพื่อสะกดให้พวกเขาเข้าสู่นิทราอันลุ่มลึก
จากนั้นเธอก็เปล่งเสียงลอดไรฟันออกมาเป็นคำหนึ่งซึ่งเป็นภาษาพาร์เซล มันทำให้ไม้กายสิทธิ์ที่รับใช้อิโซลต์อย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปีและตอนนี้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงที่อิโซลต์กำลังหลับสนิท เกิดอาการสั่นเบาๆ หนึ่งทีแล้วจากนั้นมันก็ใช้งานไม่ได้อีก ตลอดเวลาหลายปีที่อยู่กับมันมานั้น อิโซลต์ไม่เคยรู้เลยว่าเธอได้ถือไม้กายสิทธิ์ของซัลลาซาร์ สลิธีริน หนึ่งในผู้ก่อตั้งฮอกวอตส์ และแกนข้างในของมันนั้นเป็นเศษเขาของงูวิเศษตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือบาซิลิสก์ ไม้กายสิทธิ์ถูกสอนโดยผู้สร้างมันให้ ‘หลับ’ เมื่อได้รับคำสั่ง และความลับนี้ได้ถูกถ่ายทอดมาตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษไปยังสมาชิกครอบครัวสลิธีรินที่ได้ครอบครองไม้กายสิทธิ์นี้
สิ่งที่กอร์มเลธไม่ทราบก็คือ ในปราสาทนี้ยังมีอีกสองคนที่ไม่ได้หลับไหลไปเพราะเวทมนตร์ของเธอ เธอไม่เคยได้ยินชื่อของแชดวิกที่อายุสิบหกปีและเว็บส์เตอร์ที่อายุสิบสี่ปีอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย อีกอย่างที่เธอไม่ทราบก็คือ สิ่งที่เป็นแกนกลางไม้กายสิทธิ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นมาจากเขาของงูยักษ์มีเขาแม่น้ำ ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองไม่ได้หลับไหลไปด้วยเมื่อกอร์มเลธร่ายคาถาเป็นภาษาพาร์เซล ตรงกันข้าม แกนกลางของไม้ทั้งสองกลับสั่นระรัวเมื่อได้ยินเสียงเป็นภาษาโบราณพร้อมกับส่งสัญญาณเตือนไปยังเจ้านายของมัน โดยการเปล่งโน้ตดนตรีเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับที่งูยักษ์ส่งเสียงเตือนภัยไม่มีผิดเพี้ยน
สองพี่น้องบูธตื่นขึ้นและกระโดดลงจากเตียง แชดวิกมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสัญชาตญาณ และพบว่าสิ่งที่กำลังคืบคลานผ่านต้นไม้ตรงมายังบ้านของเขานั้นก็คือเงาของกอร์มเลธ ก๊อนท์
เหมือนกับเด็กทุกๆ คน แชดวิกได้ยินและเข้าใจอะไรมากกว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของเขาจะคาดคิด อิโซลต์กับเจมส์อาจคิดว่าพวกเขาเองสามารถเก็บความลับเรื่องกอร์มเลธจอมชั่วร้ายจากพวกเด็กๆได้ แต่พวกเขาคิดผิด เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็กแชดวิกบังเอิญได้ยินอิโซลต์พูดถึงสาเหตุที่เธอหนีออกมาจากไอร์แลนด์ อิโซลต์กับเจมส์ไม่รู้เลยว่าความฝันของแชดวิกนั้นเต็มไปด้วยภาพของแม่มดแก่ที่คืบคลานผ่านต้นไม้ตรงมายังอิลเวอร์มอร์นี ซึ่งตอนนี้ฝันร้ายของเขาได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
หลังจากบอกเว็บส์เตอร์ให้ไปเตือนพ่อแม่ของพวกเขา แชดวิกก็วิ่งลงบันไดและทำสิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลตามความคิดของเขา นั่นก็คือ วิ่งออกจากบ้านและตรงไปเผชิญหน้ากับกอร์มเลธ เพื่อขัดขวางไม่ให้เธอเข้ามาในบ้านที่ครอบครัวของเขานอนหลับอยู่
กอร์มเลธไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เผชิญหน้ากับพ่อมดหนุ่มและเธอก็ประเมินเขาต่ำเกินไปในช่วงแรก แชดวิกปัดป้องคำสาปได้อย่างเชี่ยวชาญและทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กัน ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แม้ว่ากอร์มเลธจะมีพลังสูงกว่าแชดวิกอย่างมาก แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าเด็กชายผู้มีพรสวรรค์คนนี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ระหว่างที่กอร์มเลธเล็งคำสาปไปที่หัวของเขาเพื่อพยายามทำให้เขายอมจำนนและต้อนเขากลับเข้าไปในบ้าน กอร์มเลธก็ถามแชดวิกเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาพร้อมกับบอกว่าเธอไม่อยากฆ่าสายเลือดบริสุทธิ์ที่มีพรสวรรค์
ระหว่างนั้นเว็บส์เตอร์พยายามเขย่าตัวพ่อแม่บุญธรรมเพื่อปลุกพวกเขาให้ตื่น แต่มนต์ดำก็ฝังรากลึกจนแม้กระทั่งเสียงตะโกนของกอร์มเลธและเสียงคำสาปที่กระเด็นมาโดนบ้านนั้นยังไม่สามารถปลุกทั้งสองให้ตื่นได้ ดังนั้นเว็บสเตอร์จึงรีบวิ่งลงบันไดมาเข้าร่วมในการต่อสู้ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดอยู่นอกบ้าน
การต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งยิ่งสร้างความลำบากให้กอร์มเลธมากยิ่งขึ้นอีก ยิ่งไปกว่านั้น แกนแฝดจากไม้กายสิทธ์ของเด็กบูธทั้งสองคนนั้น เมื่อใช้ต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกันแล้วจะยิ่งทำให้พลังเพิ่มขึ้นอีกนับสิบเท่า แต่กระนั้นพลังเวทมนตร์ของกอร์มเลธก็แข็งแกร่งและดำมืดมากพอที่จะสู้กับเด็กหนุ่มทั้งสองได้ ตอนนี้การต่อสู้มาถึงจุดวิกฤติแล้ว กอร์มเลธยังคงหัวเราะร่าและสัญญาว่าจะเมตตาไว้ชีวิต หากทั้งสองสามารถพิสูจน์ให้เห็นหลักฐานของความเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ได้ แชดวิกและเว็บส์เตอร์ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะหยุดกอร์มเลธไม่ให้เข้าไปถึงครอบครัวของพวกเขา สองพี่น้องถูกต้อนเข้าไปในอิลเวอร์มอร์นี – กำแพงเริ่มร้าวและหน้าต่างแตกกระจาย – แต่อิโซลต์และเจมส์ก็ยังคงหลับใหลอยู่ จนกระทั่งทารกหญิงที่นอนอยู่ชั้นบนของบ้านตื่นขึ้นและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
เสียงกรีดร้องนี้ได้ทะลวงเวทมนต์ที่สะกดอิโซลต์กับเจมส์อยู่ ความบ้าคลั่งและเวทมนตร์ไม่สามารถปลุกทั้งสองได้ แต่เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของลูกสาวของพวกเขานั้นกลับทำลายคำสาปที่กอร์มเลธสะกดพวกเขาลงได้ คำสาปนี้ก็เหมือนกับตัวกอร์มเลธเองตรงที่มองข้ามพลังแห่งความรักไป อิโซลต์ร้องตะโกนให้เจมส์ไปปกป้องลูกสาว แล้วเธอก็รีบวิ่งไปช่วยลูกชายบุญธรรมทั้งสองของเธอ พร้อมกับถือไม้กายสิทธิ์ของสลิธีรินไว้ในมือ
ทันทีที่เธอยกไม้ขึ้นเพื่อโจมตีป้าที่เธอแสนเกลียดชัง เธอก็รู้ทันทีว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทำเช่นนั้น ไม้กายสิทธิ์ที่หลับไหลอยู่มีค่าแค่เพียงกิ่งไม้ธรรมดาๆ อันหนึ่งเท่านั้น ด้วยความย่ามใจ กอร์มเลธต้อนอิโซลต์ แชดวิกและเว็บสเตอร์กลับขึ้นไปที่บันได และตรงไปยังห้องที่เธอสามารถได้ยินเสียงลูกของหลานเธอกำลังร้องไห้อยู่ ในที่สุดแล้วเธอก็สามารถทำลายประตูห้องนอนลงได้ เจมส์กำลังยืนเผชิญหน้าและพร้อมที่จะรับความตายอยู่หน้าเตียงของลูกสาวเขา เมื่อแน่ใจว่าสถานการณ์สิ้นหวังแล้ว อิโซลต์จึงร้องตะโกนเรียกชื่อพ่อที่ถูกฆ่าตายไปแล้วของเธอออกมาโดยไม่รู้ตัว
เกิดเสียงดังสนั่นและแสงจันทร์ก็ถูกบดบังออกไปจากห้อง เมื่อพัควัดจิที่ชื่อวิลเลียมปรากฏตัวขึ้นบนขอบหน้าต่าง ก่อนที่กอร์มเลธจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปลายลูกศรอาบยาพิษก็พุ่งทะลุหัวใจของเธอ กอร์มเลธกรีดร้องแบบไม่เป็นผู้เป็นคนและเสียงนั้นดังออกไปไกลหลายไมล์ แม่มดเฒ่าได้ใช้พลังของศาสตร์มืดทุกรูปแบบเพื่อพยายามทำให้ตัวเธอเป็นอมตะและตอนนี้คำสาปเหล่านั้นกลับทำปฏิกิริยากับพิษของพัควัดจิ มันทำให้ทั้งตัวของเธอแข็งและเปราะราวกับถ่านหินก่อนจะแตกละเอียดออกเป็นพันๆชิ้น ไม้กายสิทธิ์ของโอลลิแวนเดอร์ตกลงบนพื้นและระเบิดออก สิ่งที่เหลืออยู่ของกอร์มเลธ ก๊อนท์ คือกองขี้เถ้าที่ยังมีควันคลุ้ง ไม้กายสิทธิ์ที่หักและเอ็นหัวใจมังกรที่ไหม้เกรียม
วิลเลียมได้ช่วยชีวิตของครอบครัวนี้ไว้ เพื่อตอบแทนกับบุญคุณในครั้งนี้เขาแค่โวยวายว่าอิโซลต์ไม่ได้เรียกชื่อเขามานานหลายสิบปีแล้วและเขาก็โกรธที่เธอเพิ่งจะเรียกชื่อเขาในตอนที่ความตายกำลังมารอเธออยู่ตรงหน้า อิโซลต์รู้กาละเทศะมากพอที่จะไม่พูดออกไปว่าที่จริงแล้วเธอเรียกชื่อพ่อของเธอต่างหาก เจมส์ดีใจที่ได้พบกับพัควัดจิที่เขาเคยได้ฟังเรื่องราวมามากมาย วิลเลียมลืมไปเสียสนิทว่าพัควัดจิเกลียดมนุษย์ทุกคน เขาบีบมือของวิลเลียมที่กำลังงุนงงอยู่และบอกว่าเขาดีใจมากเพียงใดจนเขาตั้งชื่อบ้านหนึ่งของอิลเวอร์มอร์นีหลังหนึ่งตามชื่อวิลเลียม
หลายคนเชื่อว่า คำเยินยอนี้เองที่ทำให้หัวใจที่แข็งกร้าวของวิลเลียมอ่อนลง เพราะวิลเลียมได้ย้ายครอบครัวพัควัดจิของเขามาอยู่ที่บ้านของอิโซลต์ในวันรุ่งขึ้น และถึงแม้จะบ่นตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เคย วิลเลียมก็ช่วยซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากกอร์มเลธ และเขาก็ประกาศว่าพ่อมดนั้นหัวทึบเกินไปที่จะปกป้องตัวเอง แล้วเขาจึงเจรจาขอค่าจ้างจำนวนมากเป็นทองคำเพื่อเป็นค่าบริการรักษาความปลอดภัยทั้งแบบส่วนตัวและเพื่อปกป้องดูแลโรงเรียนแห่งนี้
ชื่อเสียงของอิลเวอร์มอร์นีแพร่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีต่อมา บ้านหินแกรนิตได้แปรเปลี่ยนเป็นปราสาท มีการรับสมัครครูเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น ตอนนี้ลูกหลานของแม่มดพ่อมดทั่วอเมริกาเหนือถูกส่งมาเล่าเรียนที่นี่และโรงเรียนก็มีนักเรียนอยู่ประจำแล้ว เมื่อถึงศตวรรษที่สิบเก้า อิลเวอร์มอร์นีก็มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติเหมือนเช่นในปัจจุบัน
อิโซลต์และเจมส์ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ร่วมกันเป็นเวลาอีกหลายปี ทั้งสองเป็นที่รักของนักเรียนหลายต่อหลายรุ่น ราวกับว่าพวกเขาเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งเลยก็ไม่ปาน
แชดวิกกลายเป็นพ่อมดที่ประสบความสำเร็จและเดินทางไปทั่ว นอกจากนี้เขายังเขียน ตำราคาถาของแชดวิกเล่มที่ 1 – 7 ซึ่งได้กลายเป็นตำราเรียนพื้นฐานของอิลเวอร์มอร์นีในเวลาต่อมา แชดวิกแต่งงานกับแม่มดผู้บำบัดชาวเม็กซิกันที่ชื่อโจเซฟิน่า คัลเดอรอน และครอบครัวคัลเดอรอน-บูธ ก็ยังคงเป็นครอบครัวผู้วิเศษที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาในปัจจุบัน
ก่อนการสถาปนามาคูซา (สมาพันธ์เวทมนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา) โลกใหม่ยังขาดผู้รักษากฎหมายของโลกเวทมนตร์ เว็บส์เตอร์ บูธได้ริเริ่มอาชีพหนึ่งซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันในชื่อของ ‘มือปราบมารรับจ้าง’ ระหว่างที่เขาเนรเทศพ่อมดศาสตร์มืดชั่วร้ายกลับลอนดอนนั้น เว็บส์เตอร์ก็พบและตกหลุมรักกับแม่มดสาวชาวสก๊อตที่ทำงานอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์ ถึงตอนนี้ครอบครัวบูธได้กลับไปอยู่บ้านเกิดของตนแล้วและทายาทของเว็บส์เตอร์จะได้เรียนหนังสือที่ฮอกวอตส์ในอนาคต
มาร์ธา ลูกสาวฝาแฝดคนโตของเจมส์กับอิโซลต์นั้นเป็นสควิบ แม้ว่าจะได้รับความรักอย่างมากมายจากพ่อแม่และพี่ชายบุญธรรม แต่มาร์ธาก็ปวดใจที่จะเติบโตอยู่ที่อิลเวอร์มอร์นีเพราะเธอไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ในที่สุดเธอก็แต่งงานกับโนแมจหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนเธอซึ่งมาจากเผ่าโพคอมทัค แล้วจึงใช้ชีวิตเป็นโนแมจนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ริโอนัค ลูกสาวฝาแฝดคนเล็กของเจมส์กับอิโซลต์เป็นครูสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดที่อิลเวอร์มอร์นีหลายปี เธอไม่ได้แต่งงานและมีข่าวลือที่ไม่ได้รับการยืนยันจากครอบครัวของเธอว่า นอกจากจะไม่เป็นสควิปเหมือนกับมาร์ธาพี่สาวฝาแฝดแล้ว ริโอนัคยังเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษอย่างการพูดภาษาพาร์เซล และเธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ส่งผ่านสายเลือดสลิธีรินต่อไปยังคนรุ่นถัดไป (พวกเขาซึ่งอยู่ทางฝั่งอเมริกา ไม่ทราบว่ากอร์มเลธไม่ใช่ก๊อนท์คนสุดท้าย ดังนั้นสายเลือดของสลิธีรินจึงยังคงสืบทอดต่อไปในประเทศอังกฤษ)
อิโซลต์และเจมส์มีอายุยืนเกินหนึ่งร้อยปี พวกเขาได้เห็นกระท่อมอิลเวอร์มอร์นีแปรเปลี่ยนเป็นปราสาทหินแกรนิต จากนั้นพวกเขาก็เสียชีวิตลงในช่วงที่โรงเรียนของพวกเขากำลังรุ่งเรืองสุดขีด ครอบครัวผู้วิเศษทั่วอเมริกาเหนือปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้ลูกของตนมาเข้าเรียนที่นี่ พวกเขาจ้างบุคลากร สร้างหอพักและซ่อนโรงเรียนจากสายตาสอดรู้สอดเห็นของพวกโนแมจด้วยเวทมนต์อันชาญฉลาด
โดยสรุปของเรื่องราวนี้ก็คือ เด็กหญิงผู้ที่เคยใฝ่ฝันว่าอยากเข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ ได้มีส่วนในการก่อตั้งสถาบันอันยิ่งใหญ่ที่เทียบเท่ากับฮอกวอตส์ให้เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือ
แน่นอน สิ่งที่คุณอาจคาดหวังจากโรงเรียนเวทมนตร์ที่มีโนแมจเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง อิลเวอร์มอร์นีมีชื่อเสียงในด้านความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดและมีการแบ่งชนชั้นในกลุ่มนักเรียนน้อยที่สุดแห่งหนึ่ง ในบรรดาโรงเรียนเวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ทั้งสิบเอ็ดแห่ง
รูปปั้นหินอ่อนของอิโซลต์และเจมส์ตั้งตระหง่านอยู่ที่ประตูหน้าปราสาทของอิลเวอร์มอร์นี ประตูหน้าเปิดเข้าสู่ห้องทรงกลมที่มีโดมหลังคาแก้วและมีระเบียงไม้ล้อมรอบอยู่บนชั้นสอง ในห้องนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากรูปสลักไม้ขนาดยักษ์สี่ตัวซี่งเป็นตัวแทนของบ้านต่าง ๆ งูยักษ์มีเขา แวมปัส ธันเดอร์เบิร์ดและพัควัดจิ
ระหว่างที่นักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียนกำลังเฝ้ามองจากระเบียงกลมที่อยู่ด้านบน บรรดานักเรียนใหม่จะเดินเรียงแถวเข้าสู่ห้องโถงกลมที่อยู่ถัดจากทางเข้า พวกเขาจะยืนรอบกำแพงและจะถกเรียกชื่อทีละคนให้มายืนบนสัญลักษณ์ปมกอร์เดียนที่ฝังอยู่บนพื้นหินกลางห้อง ทั้งโรงเรียนจะเงียบเพื่อรอให้รูปปั้นไม้แกะสลักซึ่งลงเวทมนตร์ไว้เกิดตอบสนอง ถ้างูยักษ์มีเขาต้องการนักเรียน คริสตัลที่ฝังอยู่ตรงหน้าผากของมันจะส่องแสง ถ้าแวมปัสต้องการนักเรียน มันจะคำราม ส่วนธันเดอร์เบิร์ดจะแสดงความเห็นชอบด้วยการตีปีกและพัควุดจิจะยกลูกศรขึ้นสู่อากาศ
ถ้านักเรียนคนใดได้รับเลือกให้เข้าสู่บ้านจากรูปปั้นไม้แกะสลักหลายตัวพร้อมกัน นักเรียนก็จะมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเข้าสู่บ้านใด มีอยู่ในบางครั้ง – อาจจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบสิบปี – ที่จะมีนักเรียนบางคนถูกตอบรับให้เข้าสู่บ้านทั้งสี่หลังพร้อมกัน เช่นเซราฟิน่า พิกเคอรีซึ่งเป็นประธานของมาคูซ่าระหว่างปี ค.ศ. 1920 – 1928 เธอเป็นแม่มดเพียงคนเดียวของคนรุ่นที่ได้รับเกียรตินี้ และเธอก็เลือกเข้าบ้านงูยักษ์มีเขา
บางทีอาจกล่าวได้ว่าบ้านของอิลเวอร์มอร์นีแต่ละหลังนั้นเป็นตัวแทนของพ่อมดแม่มดทุกคน งูยักษ์เป็นตัวแทนของจิตใจ แวมปัสแทนร่างกาย หัวใจคือพัควัดจิ และธันเดอร์เบิร์ดก็คือจิตวิญญาณ บางคนก็กล่าวว่างูยักษ์ชอบนักปราชญ์ แวมปัสชอบนักรบ พัควัดจิชอบผู้บำบัด และธันเดอร์เบิร์ดชอบนักผจญภัย
พิธีคัดสรรไม่ได้เป็นเพียงจุดแตกต่างสำคัญเพียงจุดเดียวระหว่างฮอกวอตส์กับอิลเวอร์มอร์นี (แต่ทั้งสองโรงเรียนก็เหมือนกันในหลายด้าน) เมื่อนักเรียนถูกคัดสรรเข้าสู่บ้านแล้ว พวกเขาจะถูกนำทางไปยังห้องโถงใหญ่สถานที่ซึ่งพวกเขาจะเลือก (หรือถูกเลือก) ไม้กายสิทธิ์ ก่อนปี ค.ศ. 1965 – เป็นปีที่มีการยกเลิกกฎหมายแรพพาพอร์ตที่บังคับใช้อย่างเคร่งครัดมานานเกี่ยวกับการรักษาความลับ – โรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนถือไม้กายสิทธิ์จนกว่าจะเดินทางถึงอิลเวอร์มอร์นี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะต้องทิ้งไม้กายสิทธิ์ไว้ที่อิลเวอร์มอร์นีระหว่างช่วงปิดภาคเรียน และกฎหมายจะอนุญาตให้ถือไม้กายสิทธิ์นอกบริเวณโรงเรียนได้ก็ต่อเมื่อพ่อมดแม่มดมีอายุครบสิบเจ็ดปีแล้วเท่านั้น
เสื้อคลุมของอิลเวอร์มอร์นีมีสีน้ำเงินและสีแคนเบอร์รี เพื่อเป็นเกียรติแด่อิโซลต์และเจมส์ สีน้ำเงินเป็นสีโปรดของอิโซลต์ เพราะว่าเธออยากอยู่บ้านเรเวนคลอเมื่อตอนที่เป็นเด็กและสีแคนเบอร์รีเป็นเกียรติแด่ความชื่นชอบในพายแคนเบอร์รีของเจมส์ เสื้อคลุมของนักเรียนอิลเวอร์มอร์นี่ทุกคนจะผูกไว้ด้วยปมกอร์เดียนทองคำ เพื่อระลึกถึงเข็มกลัดที่อิโซลต์พบในกองซากกระท่อมอิลเวอร์มอร์นีหลังแรกของเธอ
พัควัดจิหลายตัวยังคงทำงานอยู่ที่โรงเรียนจนถึงปัจจุบัน ทุกตัวขี้บ่นและยืนกรานว่าตัวเองไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่ทุกตัวก็ยังคงทำงานอยู่ที่นี่ปีแล้วปีเล่าอย่างน่าฉงน มีตัวหนึ่งที่อายุมากเป็นพิเศษและจะขานรับเมื่อมีคนเรียกชื่อ ‘วิลเลียม’ เขาหัวเราะเมื่อได้ยินความคิดที่ว่าเขาคือวิลเลียมตัวเดียวกับที่ช่วยชีวิตอิโซลต์และเจมส์ไว้ เขาอธิบายอย่างหนักแน่นว่าวิลเลียมที่ว่านั้นคงจะอายุกว่าสามร้อยปีได้แล้วมั้งถ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าพัควัดจิจะมีอายุยืนได้เท่าไหร่ วิลเลียมปฏิเสธที่จะให้ใครมาทำความสะอาดรูปปั้นหินอ่อนของอิโซลต์ที่ทางเข้าโรงเรียน และในวันครบรอบวันเสียชีวิตของอิโซลต์ทุกปี อาจมีคนพบเห็นเขาวางดอกเมย์ฟลาวเวอร์ไว้บนหลุมศพของเธอและเขาจะโมโหมากหากมีใครเสียมารยาทเผลอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
* เมย์ฟลาวเวอร์ (Mayflower) เรือสำเภาลำแรกที่พากลุ่มผู้อพยพชาวอังกฤษกลุ่มแรกไปยังอเมริกา ในปี ค.ศ. 1620 รู้จักกันในชื่อกลุ่มพิริแกรมซึ่งไปตั้งอาณานิคมพลีมัธ
** เผ่าแวมพาโนค (Wampanoag) ชนพื้นเมืองของอเมริกา เป็นชนพื้นเมืองเผ่าแรกๆ ที่เริ่มมาติดต่อทำการค้ากับอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 17
*** แนร์ราแกนเซท (Narragansett) เมืองท่าในแถบโร้ด ไอร์แลนด์
แปลไทยและเรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง