ตำนานของเจ.เค.โรวลิ่ง เริ่มจากหนังสือเด็กอันแสนสนุก ซึ่งเป็นเรื่องราวของพ่อมดเด็กกำพร้าผู้โด่งดังและมีแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้า เด็กชายผู้มีโชคชะตาอันแสนวิเศษ ซึ่งมันถูกแบ่งไปยังผู้ที่สร้างเขาขึ้นมาด้วย -- เจ.เค.โรวลิ่ง ผู้กลายมาเป็นนักเขียนที่ร่ำรวยที่สุดคนแรกในประวัติศาสตร์ กับหนังสือที่ขายได้กว่า 400 ล้านเล่ม, ถูกแปลออกไปมากกว่า 69 ภาษาและวางขายกว่า 200 ประเทศทั่วโลก แฮร์รี่เล่มสุดท้าย -- เครื่องรางยมทูต -- กลายเป็นหนังสือที่ถูกขายออกไปเร็วมากที่สุดตลอดกาล เท่านั้นยังไม่พอ อาณาจักรของเธอได้กลายมาเป็นภาพยนต์, สินค้า และแม้กระทั่งสวนสนุก แฮร์รี่ พอตเตอร์ กลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนต์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ราวๆ 5.3 พันล้านดอลลาร์และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
OP : นี่คือครั้งแรกที่เราได้พบกันใช่ไหมคะ
JK : ถูกต้องค่ะ
OP : และโปรดิวเซอร์บอกฉันว่า ชื่อจริงของคุณคือ "โจ(Jo)" ที่ผ่านมาฉันนึกว่าเป็น เจ.เค.(J.K)
JK : เพราะทางสำนักพิมพ์อังกฤษของฉันค่ะ เมื่อตอนที่เล่มแรกออกมา พวกเขาคิดว่า 'หนังสือนี้น่าจะเหมาะกับพวกเด็กผู้ชาย' และพวกเขาไม่ต้องการให้เด็กผู้ชายรู้ว่าผู้หญิงเป็นคนเขียน พวกเขาเลยบอกฉันว่า 'ใช้ชื่อย่อของคุณน่าจะดีกว่าไหม' ฉันตอบไปว่า 'ได้เลย' ฉันมีแค่ชื่อแรกเพียงชื่อเดียว ฉันไม่มีชื่อกลาง ดังนั้นฉันเลยเอาชื่อคุณยายที่ฉันรักมาใช้ คือ แคทเธอรีน(Kathleen) -- Joanne Kathleen (J.K.)
OP : แต่ก็หลอกพวกเขาได้แค่สักพักใช่ไหมคะ
JK : ใช่ค่ะ ไม่นานพวกเขาก็รู้ความจริงเพราะหน้าของฉันปรากฏอยู่เต็มสื่อ และไม่มีใครจะมาแสร้งทำให้ฉันเป็นผู้ชายได้อีกต่อไป
OP : และฉันก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะสนใจ
JK : ไม่ค่ะ มันชัดเจนมาก พวกเขาไม่ว่าอะไรฉันเลย
OP : ตอนที่เรามาที่นี่ -- ซึ่งเพิ่งจะมาถึงเมื่อวานนี้ -- สก็อตแลนด์นี่สวยงามมากเลยนะคะ เขียวขจีไปทุกที่ มากกว่าที่ใดที่ฉันเคยเจอในไอร์แลนด์ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้มันเหมาะอย่างยิ่งที่จะสร้างสรรค์ความคิดต่อไป นั่นถึงว่าทำไมคุณต้องมาที่นี่ เพื่อทำงานให้จบ
JK : จริงค่ะ มันช่วยกระตุ้นไอเดียฉันอย่างมาก ช่วงที่ฉันกำลังจะเขียนเล่มเครื่องรางยมทูตเสร็จ คนทำความสะอาดหน้าต่างก็มาในตอนนั้น พวกเด็กๆ ก็อยู่บ้าน สุนัขก็เห่าไม่หยุด และฉันก็ทำงานไม่ได้เลย แล้วฉันก็ปิ๊งไอเดียออกมาทันทีว่า 'ฉันสามารถใช้เงินกับปัญหานี้และฉันสามารถแก้ไขมันได้นี่' หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา ฉันมักจะไปนั่งตามร้านกาแฟและทำงานได้ภายใต้เสียงรบกวนแบบต่างๆ ฉันคิดว่า 'ตอนนี้ฉันสามารถหาที่เงียบๆ ได้แล้วนี่' ดังนั้นฉันจึงมาที่โรงแรมนี้ เพราะมันเป็นโรงแรมที่สวยมาก แต่ฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แบบถาวรนะ พวกเขาทุกคนน่ารักกับฉันมาก และฉันคิดว่านักเขียนจะมีลางสังหรณ์เล็กๆ อยู่เสมอ ดังนั้นวันแรกที่เริ่มเขียนก็ผ่านไปด้วยดี จนถึงวันสุดท้ายฉันก็กลับมาที่โรงแรมนี้อีกครั้ง และฉันก็เขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มสุดท้ายเสร็จสิ้นที่โรงแรมนี้
OP : พวกเรามีบางอย่างคล้ายกันนะคะ อย่างแรก ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่ฉันจะทำรายการ Oprah show จากนั้นฉันก็จะไปทำอย่างอื่นบ้าง พอฉันได้อ่านตอนจบของ เครื่องรางยมทูต -- ละอองไอน้ำกลุ่มสุดท้ายระเหยไปในอากาศฤดูใบไม้ร่วง รถไฟเลี้ยวโค้ง มือแฮร์รี่ยังชูขึ้นในท่าโบกลา "เขาต้องไม่เป็นไร" จินนี่พึมพำ ขณะที่แฮร์รี่มองดูเธอ เขาลดมือลงมาอย่างใจลอยและแตะรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผาก "ฉันรู้ว่าเขาจะสบายดี" แผลเป็นนั้นไม่ได้ทำให้แฮร์รี่เจ็บปวดมานานถึงสิบเก้าปีแล้ว ทุกอย่างลงเอยด้วยดี -- พอฉันอ่านตรงนี้จบ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกใจหายกับของตอนจบหนังสือชุดนี้ แต่สำหรับคุณ ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันเป็นอย่างไร
JK : มันใหญ่มากค่ะ
OP : ฉันนึกภาพไม่ออกค่ะ ว่ามันใหญ่แค่ไหน
JK : มันคือการจากลาครั้งใหญ่ แม้ฉันรู้ว่าสักวันหนึ่งการจากลาจะต้องมาถึงเราและคนที่เรารัก พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์ปถุชนธรรมดา เรารู้ว่าตอนจบมันจะมาแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร นี่ก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าฉันเองก็รู้ว่าหนังสือชุดนี้จะมี 7 เล่ม ฉันรู้ว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร แต่พอมันมาถึงจริงๆ ฉันกลับรู้สึกใจหายเล็กน้อย
OP : คุณทำอย่างไรบ้างคะ พอเขียนเสร็จแล้ว
JK : ตอนแรกฉันก็ดีใจแต่พอถึงจุดๆหนึ่งฉันร้องไห้ค่ะ ในชีวิตนี้ฉันเคยร้องไห้เพียงแค่ครั้งเดียวคือเมื่อตอนที่แม่ฉันตาย มันควบคุมไม่ได้เลย ซึ่งฉันเป็นคนที่ร้องไห้ยากมาก คุณรู้ไหมฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะร้องไห้ติดต่อกันนานๆ แบบบางคนที่ร้องจนทำตาท่วมได้เป็นชั่วโมง แต่ฉันไม่เลย ยกเว้นแค่ครั้งนั้นและครั้งนี้ กว่า 17 ปีที่ผ่านมาแม้จะเจอช่วงเวลาอันสับสนวุ่นวายในชีวิต ฉันก็มีสิ่งนี้อยู่ด้วยเสมอ ถ้าคุณตัดเรื่องที่ว่ามันเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กออกไป คุณจะพบว่ามันมีความหมายกับฉันมาก มันไม่ใช่แค่โลกใบหนึ่ง มันคือการทำงานแบบค่อยเป็นค่อยไป มันมีส่วนในการก่อร่างสร้างตัวของชีวิตฉัน และฉันรู้ว่าฉันจะเป็นนักเขียนต่อไป แต่ฉันจะนึกถึงแฮร์รี่อยู่ตลอดเวลา
OP : คุณรู้รึเปล่าว่า "ทุกอย่างลงเอยด้วยดี" จะเป็นประโยคสุดท้าย
JK : ใช่ค่ะ
OP : แล้วคุณรู้มาตลอดเลยเหรอ
JK : นั่นเป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ เพราะฉันคิดไว้เมื่อนานมาแล้วว่าคำสุดท้ายจะเป็นคำว่า 'แผลเป็น(scar)' มันเป็นแค่การใช้คำแผลงๆ ที่ฉันจะบอกแก่แฟนๆ และฉันก็เปลี่ยนใจไปใช้ "ทุกอย่างลงเอยด้วยดี"
OP : แต่คุณก็รู้ว่าหลังจากนี้แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรใช่ไหมคะ
JK : ใช่ค่ะ ฉันรู้ ฉันหยุดคิดไม่ได้ ฉันว่าคุณเองก็คงเป็นถ้าคุณอยู่กับตัวละครทั้งหมดนี้มานาน มันยังคงอยู่ในหัวฉัน ฉันหมายถึงว่าสามารถเขียนมันออกมาเป็นเล่มที่ แปด เก้า สิบ ได้อย่างง่ายดายเลยด้วย
OP : แล้วคุณจะเขียนมันไหมคะ
JK : ฉันจะไม่พูดว่า 'ไม่เขียน' แต่ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะเขียน ฉันรักการเขียนหนังสือพวกนั้น ฉันแค่รู้สึกว่า ฉันเขียนมันจบแล้ว
OP : บอกฉันหน่อยได้ไหมคะ คุณเคยรู้สึกตกอยู่ในความกดดันบ้างไหม เพราะตอนแรกเริ่ม ในครั้งแรกสุดเลย -- โลกยังไม่รู้จักคุณ แต่หลังจากนั้น เมื่อเริ่มมีการทำสัญญาข้อตกลง เริ่มมีการจะทำเป็นภาพยนต์ และส่วนอื่นๆ ของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์เริ่มขึ้น ฉันมั่นใจว่าความกดดันเริ่มมาหาคุณตั้งแต่ตอนนั้น
JK : ใช่ ถูกต้องเลยค่ะ ฉันสามารถพูดได้ตอนนี้เพราะว่าฉันเป็นอิสระจากมันแล้ว ในตอนนั้นฉันยอมรับว่าไม่รู้หรอกว่าความกดดันที่ยิ่งใหญ่มันเป็นอย่างไร นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันเผชิญ มันเกิดขึ้นเร็วมากสำหรับฉันและมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น คุณนึกออกไหม นี่มันหนังสือสำหรับเด็ก แค่หนังสือเด็ก ยิ่งไปกว่านั้น ฉันบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่ามันต้องไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไรและจะต้องปิดตัวลงเร็วๆ นี้ -- แล้วฉันก็ก้าวออกมาจากความสับสนนั้น -- มันรู้สึกว่าเป็นเหมือนเดอะ บีทเทิล -- มันมาถึงจุดที่ฉันรู้สึกว่า นี่มันบ้าไปแล้ว
OP : คุณเพิ่งจะรู้ตอนนั้นเหรอคะ
JK : ใช่ค่ะ มันคือช่วงเวลาที่เด่นชัดจริงๆ สำหรับฉัน ฉันเพิ่งรู้ว่ามันกำลังไปเรื่อยๆ -- สื่อต่างๆ ก็เริ่มให้ความสนใจ แต่มันก็คือความจริงในตอนนั้น ตอนนั้นล่ะที่เริ่มรู้ว่ามันบ้า ฉะนั้นที่คุณถามว่ากดดันไหม ณ ตอนนั้นฉันสามารถบอกแก่ทุกคนได้ว่า "ใช่ ฉันกำลังรับมือกับมันอยู่" ความจริงรู้สึกเหมือนว่าตัวฉันเองแขวนอยู่บนเส้นด้ายเลยด้วยซ้ำ
OP : แต่ไม่มีใครคาดคิดในหนังสือเล่มแรก เมื่อแฮร์รี่ถูกนำไปฝากไว้กับลุงของเขา ว่าในอนาคตวันหนึ่ง...
OP&JK : เด็กทุกคนบนโลกจะรู้จักชื่อของเขา
OP : แล้วคุณล่ะรู้ไหม
JK : ไม่ค่ะ
OP : ไม่สักนิดเลยเหรอคะ แม้แต่ในความคิดลึกๆ ของคุณ
JK : ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกเหมือนสิ่งหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวฉัน ราวกับภาพนิมิตรในปัจจุบัน เห็นได้ชัดเลยว่าถ้ามันเป็นจริงมันคงเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากสำหรับฉัน(ในตอนนั้น) แต่ฉันจำได้ว่าวันหนึ่ง ช่วงที่กำลังเขียนเล่มศิลาอาถรรพ์ ฉันเดินออกมาจากร้านกาแฟที่ไปนั่งทำงาน ฉันจำได้เลยว่าเหมือนกับมีอีกเสียงหนึ่งกำลังพูดกับฉันว่า "เรื่องที่ยากเย็นจะเป็นที่รู้จัก ถ้ามันถูกรู้จักแล้วมันจะยิ่งใหญ่มาก"
OP : ว้าว
JK : และนั่นคือสิ่งที่มันเป็นอยู่ตอนนี้
OP : ที่คุณบอกว่า 'เสียงหนึ่งกำลังพูดกับคุณ' นั่นหมายถึง..
JK : ก็.. บางอย่างที่คุณยึดถือเป็นความเชื่อละมั้งคะ
OP : เหรอคะ
JK : คุณรู้ไหม ฉันไม่ใช่คนที่พูดแล้วดูน่าเชื่อถือนักหรอก ฉันไม่ใช่คนประเภทที่เชื่อในเรื่องความเป็นจริงทุกอย่าง ฉันเป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นในตนเองมาตลอดและนี่เป็นเรื่องเดียวที่ฉันยึดถือมาในชีวิต ฉันแค่รู้สึกว่า 'ฉันเป็นคนเดียวที่เขียนมันออกมาได้'
OP : มันจริงใช่ไหมคะที่ว่ามันแค่ -- คุณเองก็รู้ดี -- เพราะฉันได้ยินมาว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันไหลเข้ามาในหัวของคุณตอนที่คุณกำลังนั่งรถไฟ
JK : ใช่ค่ะ นั่นคือความจริง
OP : จริงเหรอคะ
JK : ฉันเคยเขียนเรื่องอื่นๆ มาบ้างตามที่ฉันอยากจะเขียน ตั้งแต่เมื่อตอนที่ฉันเริ่มจะจำความได้และรู้ว่าพวกหนังสือนั้นถูกเขียนขึ้นมา พวกมันไม่ได้งอกขึ้นมาเองจากพื้นดิน
OP : ตั้งแต่เมื่อไรคะ 6 ขวบได้ไหม
JK : ใช่ค่ะ ประมาณ 5 หรือ 6 ขวบนี่ล่ะ นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากเป็น
OP : หมายถึงการเป็นนักเขียน ?
JK : ใช่ค่ะ ฉันเคยเขียนเรื่องต่างๆ ที่สนใจตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายจนถึงช่วงอายุ 20 แต่ฉันไม่เคยเจอสิ่งที่ใช่เลยสักทีคุณรู้ไหม และจากนั้นฉันก็นั่งอยู่บนรถไฟ ตอนนั้นฉันอายุ 25 แล้วมันก็มา สิ่งที่มาคือ 'เด็กผู้ชายที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นพ่อมดกำลังจะไปโรงเรียนสำหรับพ่อมด' เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! และมันก็กลายมาเป็นสิ่งนี้ เป็นกระดาษที่จับต้องได้ ตอนนั้นฉันอยู่บนรถไฟที่มาถึงช้ากำลังเดินทางจากแมนเชสเตอร์ไปลอนดอน และหัวของฉันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนสอนเวทมนตร์ ที่มีบ้าน 4 หลัง มีผีสิง มีผีประจำบ้าน พวกเขามีการเรียนการสอนแบบไหน วิชาอะไรบ้าง อาจารย์แต่ละคนมีใครบ้าง และตอนนั้นฉันไม่มีปากกาติดตัวเลย แต่มันยังอยู่ในนี้ในหัวของฉัน และฉันไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นแบบนี้มาก่อนเลย ฉันคิดว่า 'ฉันรักที่จะเขียนมัน' ฉันไม่เคยคิดที่จะเขียนหนังสือสำหรับเด็ก ฉันไม่เคยคิดที่ว่าจะให้อะไรกับคนกลุ่มนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจจะเขียน คุณรู้ไหมส่วนหนึ่งเพราะว่าฉันชอบและหลงไหลในตำนานพื้นบ้าน ฉันชอบโลกที่ดูพิลึกแบบนั้น
OP : ฉันคิดว่าสิ่งที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ให้เป็นของขวัญแก่คนทั้งโลกคือ การปล่อยให้จินตนาการของทุกคนไม่มีขีดจำกัด
JK : ฉันหวังไว้แบบนั้นนะคะ ฉันว่ามันน่าผิดหวังที่กลัวจะปลดปล่อยจินตนาการ ฉันคิดว่ามันอาจทำให้คุณป่วยได้เลยนะ
OP : แล้วคำวิจารณ์ที่คุณได้รับจากผู้คนศาสนาต่างๆ ล่ะคะ แน่นอนว่าต้องมีคนคิดว่าหนังสือนี้มันมืดมนและน่ากลัวเกินไป ไหนจะเกี่ยวกับพ่อมด เวทมนตร์คาถาแล้วก็อื่นๆ อีก
JK : อืม.. ฉันคิดว่า....
OP : ฉันชอบมากที่คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า ที่คุณเขียนหนังสือชุดนี้ ไม่ใช่เพราะว่ากำลังพยายามทำให้คนหันมาเป็นคริสเตียน
JK : ไม่ ไม่ใช่เลยค่ะ ฉันไม่ใส่รูปแบบความเชื่อใดๆ ลงไปเลย แม้ว่าจะมีภาพแบบคริสเตียนอยู่ในหนังสือบ้าง ก็ปฏิเสธไม่ได้นะคะ โดยเฉพาะในเล่มเครื่องรางยมทูตนี่ชัดเจนมากเลย แต่ว่าไม่ใช่เลย มันเป็นเพียงแค่รูปแบบความเชื่ออย่างหนึ่งที่ฉันสร้างมันขึ้นมา แต่ก็เพื่อตอบคำถามว่ามันจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
OP : แปลว่ามันคือการแสดงความเห็นแบบหนึ่ง
JK : ใช่ค่ะ เป็นการแสดงมุมมองแบบหนึ่งของฉัน ฉันพยายามจะคิดแบบนี้นะคะว่าพวกเขาจะทำอะไร โอเค ถ้าเราคิดว่าหนังสือนี้มันแทรกไปด้วยความมืดมดและน่ากลัว ฉันคิดว่ามันเข้าท่ามากที่จะเห็นภาพบรรดาผู้ปกครองบอกว่าหนังสือนี้ไม่เหมาะกับเด็กหรือไม่ก็งั้นเราควรจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยกันนะหรือไม่ก็งั้นมาอ่านด้วยกัน และถ้าเป็นจริงมันจะเยี่ยมมากที่พ่อแม่ลูกนั่งอ่านหนังสือไปด้วยกัน นั่นจะเป็นเรื่องอัศจรรย์เลย การที่มีคนมาวิจารณ์ว่าต้องไม่มีเรื่องของพ่อมดแม่มด คุณต้องไม่ใส่เรื่องพ่อมดหรือเวทมนตร์ลงไปในหนังสือสิ ฉันคิดว่ามันไร้สาระ ไร้สาระมาก! ไม่ว่าในอีกร้อยปี สองร้อยปีหรือสามร้อยปีต่อจากนี้ก็จะมีหนังสือเด็กที่เกี่ยวกับพ่อมด แม่มดและเวทมนตร์ออกมาอยู่ดี เรื่องพวกนี้อยู่กับเราเสมอเพราะมันเป็นความเชื่อในรูปแบบหนึ่งที่อยู่กับมนุษยชาติมานานและมันยังคงมีเสน่ห์น่าสนใจอย่างมากมาย บางเรื่องราวฉันก็มักจะเอามาอ้างอิงในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่เรื่อยๆ ฉันกำลังถ่ายทอดมันออกมา ในแง่ของเวทมนตร์ มนุษย์พยายามจะพึ่งพาตนเอง ในแง่ของศาสนาคุณได้พยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวจากภายนอกแต่นั่นก็คือการเรียกร้องหาเวทมนตร์แบบหนึ่ง ฉันไม่ได้พูดว่าตัวฉันเองเชื่อว่าเวทมนตร์มีจริงนะ แต่มันก็เหมือนว่าเวทมนตร์น่ะมีอยู่จริง เห็นได้จากบางคนที่มีอำนาจและใช้อำนาจที่มีในการกำหนดรูปแบบของโลก บางครั้งฉันคิดว่ามันก็คล้ายกับการที่เรามีเงินจำนวนมาก เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่ได้กว่าไว้ว่า 'เงินก็เหมือนพลังอำนาจหรือเวทมนตร์ในรูปแบบหนึ่ง' ฉันมักจะคิดแบบนี้ ตั้งแต่ฉันเริ่มมีเงินทองจำนวนมาก แต่ผู้คนมักจะคิดว่า 'ใช่สิ คุณสามารถแก้ปัญหาอะไรก็ได้แล้วนะตอนนี้' จริงเหรอ? มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ
OP : มันน่าสนใจนะคะว่าคุณรู้สึกอย่างไร ในครั้งแรกที่คุณได้เข้าใจว่าการมีเงินสามารถบันดาลอะไรให้คุณได้ คุณเคยตระหนักไหมคะ ฉันไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนั้นเลย...
JK : คุณเคยรู้สึกแบบนั้นไหมล่ะคะ
OP : ใช่ค่ะ
JK : มันใช้เวลาสักพักเลยใช่ไหมล่ะคะ ที่จะเข้าใจ (หัวเราะ)
OP : และมันยังคงเป็นมาถึงตอนนี้เลยล่ะค่ะ (หัวเราะ)
JK : ฉันก็เหมือนกันค่ะ มันเหมือนราวกับช่วงเวลาที่คุณกำลังเลือกอะไรบางอย่างระหว่างของสองชิ้น
OP : นั่นล่ะค่ะที่เคยเกิดขึ้นกับฉัน
JK : แล้วคุณก็คิดว่า... ฉันสามารถ --
OP : -- ซื้อทั้งสองอย่างได้เลยก็จบ (หัวเราะ)
JK : แต่ว่าคุณ.. ไม่เคยใช้ชีวิตแบบฉันมาก่อนแน่นอนค่ะ
OP : ใช่ค่ะ เพราะคุณรู้ว่าแค่เงิน 25 ปอนด์ก็มีค่ามากขนาดไหน
JK : แน่นอนคะ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เลย
OP : แต่ในสหรัฐอเมริกา คุณเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนพันล้านเลยนะคะ
JK : เหรอคะ
OP : ครั้งแรกที่คุณได้รู้ว่าการเป็นนักเขียนพันล้าน มันส่งผลอะไรต่อคุณบ้างคะ
JK : ฉันได้แต่งตัวดีขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับเงินหรอกนะคะ เพราะเมื่อคุณต้องเจอคนรวยจำนวนมากที่แต่งตัวอย่างเวอร์วัง นั่นล่ะค่ะ มันเลยทำให้คุณอยากแต่งตัวให้ดูดีแบบนั้นบ้าง ฉันคิดว่านั่นคือเรื่องใหญ่ที่สุดเพียงเรื่องเดียวที่เงินให้กับฉัน -- และแน่นอน ฉันมาจากจุดหนึ่งที่เคยเป็นซิงเกิ้ลมัมและเลี้ยงลูกแบบปากกัดตีนถีบ และจุดของความจนแบบเต็มรูปแบบเท่าที่คุณจะเคยเผชิญในอังกฤษ ถ้าคุณเคยผ่านจุดเหล่านี้มาคุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่ามีแต่ความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
OP : แล้วตอนนี้คุณอยู่ในจุดที่ยอมรับได้หรือยังคะ ว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่ร่ำรวย
JK : ไม่เลย คุณคิดว่ายังไงล่ะคะ
OP : ฉันว่าดูจะไปถึงจุดนั้นแล้วล่ะคะ
JK : เหรอคะ ฉันก็หวังว่าแบบนั้นนะ
OP : เว้นแต่ว่าฉันจะโง่จนคิดไม่ได้ (หัวเราะ)
JK : ก็นั่นไงคะ เว้นแต่ว่าฉันมันโง่ แล้วคุณรู้ไหม ฉันเป็นคนโง่ที่ไม่เคยยอมรับว่ามีเงิน นั่นล่ะฉันถึงได้กังวล ฉันคิดว่า "โอ้พระเจ้า นี่ถ้าฉันเผลอโพล่งออกไป ฉันจะมองหน้าคนอื่นได้ยังไงล่ะเนี่ย"
OP : สุดท้ายแล้วคุณคิดว่าเงินมันให้อะไรกับคุณคะ
JK : มันช่วยให้คุณมีอิสระค่ะ นั่นล่ะคือสิ่งที่มันทำได้ มันจึงเหมือนกับพลังวิเศษ และไม่จำเป็นว่าต้องคือความหรูหราฟุ่มเฟือย คุณไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้างในวันหยุด เพราะคุณสามารถไปที่ไหนก็ได้ ตามใจคุณ
OP : ฉันได้ยินมาด้วยว่าคุณไม่ขับรถ
JK : ใช่ค่ะ ฉันไม่ขับรถเอง รถเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับฉัน ฉันขวัญเสียกับมันจริงๆ
OP : งั้นแปลว่าคุณมีคนขับรถส่วนตัวสิคะ
JK : ฉันรู้ตัวช้ามากว่าควรจะมีคนขับรถส่วนตัวค่ะ ช้ามาก
OP : แล้วจริงรึเปล่าคะที่คุณยังคงขึ้นรถโดยสาร ฉันได้ยินมาว่าคุณยังขึ้นรถโดยสารอยู่เลย
JK : เป็นบางครั้งค่ะ ช่วงปีที่ผ่านมาฉันยังขึ้นรถโดยสารอยู่บ้าง
OP : คุณเคยนึกภาพบ้างไหมคะว่าชีวิตของคุณจะเดินมาอยู่ในเส้นทางทุกวันนี้
JK : ไม่เคยเลยค่ะ และฉันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ทั้งหมดนี้มันเหนือความคาดหมายอย่างมากซึ่งฉันไม่ได้เตรียมรับมือมาก่อน นี่คือสิ่งที่ฉันคิดนะคะและฉันไม่เคยพูดถึงมันเลย -- 'ฉันเป็นนักเขียน ฉันเคยไม่มีใครอยู่เคียงข้างคอยให้คำปรึกษาฉันเลย ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว ไม่มีใครที่จะช่วยฉันได้เลยเมื่อฉันมีคำถามเกิดขึ้นในใจประมาณว่า คุณควรจะทำอะไรดีเมื่อความเครียดกำลังถาโถมมาหาคุณ' มันเป็นเรื่องที่บ้ามากจริงๆ มันบ้าที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนี้
OP : แต่นั่นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับนักเขียนส่วนใหญ่ คุณรู้ใช่ไหมคะ
JK : แน่นอนฉันรู้ค่ะ ดังนั้นมันจึงทำให้ทุกคนรอบๆ ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
OP : มันไม่เหมือนกับความคิดที่ว่า 'ถ้าคุณเป็นนักแสดง คุณสามารถคาดหวังความร่ำรวยได้'
JK : ใช่ ใช่เลยค่ะ ถ้าฉันเชื่อว่าตนเองจะประสบความสำเร็จแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้น แต่ว่าฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยแต่มันก็เกิดขึ้น และในฐานะนักเขียนฉันไม่เคยคิดเลยว่า ถ้าฉันประสบความสำเร็จ พวกเขาต้องการภาพถ่ายระยะไกลของฉันในชุดว่ายน้ำบนชายหาด ฉันไม่เคยที่จะคิดแบบนั้นเลยไม่ว่าจะกี่ปี
OP : ดังนั้นคุณเลยไม่ได้เตรียมรับมือกับมันเลย
JK : ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยค่ะ และมันทำให้ฉันรู้สึกกลัวอยู่ช่วงหนึ่งด้วย
OP : พูดถึงเรื่่องก่อนหน้านี้ดีกว่าค่ะ เกี่ยวกับคำวิจารณ์ของผู้คนเกี่ยวกับคุณ คุณเชื่อในพระเจ้าไหมคะ และคุณเรียกมันว่าพระเจ้ารึเปล่า
JK : ใช่ค่ะ ฉันเชื่อแบบนั้น
OP : แต่เมื่อคุณได้อ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ รูปแบบของเรื่องราวมันก็สอดคล้องกัน และก็เห็นได้ชัดในตอนจบว่าความรักคือหัวใจของเรื่องนี้
JK : แน่นอนค่ะ
OP : ความรักชนะ
JK : ใช่ค่ะ ซึ่งมันคือหัวใจหลักของศาสนาใหญ่ๆ และฉันคิดว่านักเขียนคนอื่นๆ ก็คงคิดเหมือนกัน แต่บางครั้งฉันรู้ค่ะว่าฉันนับถืออะไรเพราะฉันก็เขียนถึงมัน แปลกดีนะ ถ้าคุณได้ถามฉันก่อนที่ฉันจะเริ่มเขียนว่าฉันเชื่อในอะไร ฉันคงไม่มีคำตอบให้คุณ แต่ตอนนี้มันอยู่และเป็นหัวใจหลักของชุดหนังสือพอตเตอร์ คุณพูดถูกเลยค่ะที่ว่า..
OP : ความรักชนะในตอนจบ
JK : ใช่ค่ะ ความรักชนะในที่สุด พวกเราเองก็รู้ดี เมื่อใครสักคนหนึ่งจากไปความรักไม่ได้จากไปด้วย มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ตลอดไปได้อย่างอันน่าอัศจรรย์ในเสี้ยวชีวิตของเรา
OP : งั้นแปลว่าคุณเชื่อในพลังที่เหนือกว่าสินะคะ
JK : ค่ะ ฉันจะบอกว่าฉันเชื่อ และฉันเรียกมันว่าพระเจ้าหรือคำอื่นๆ ที่ดีกว่านี้ในเวลาที่พิเศษ
OP : การแต่งงานครั้งแรกได้สอนอะไรคุณบ้างคะ คุณก็รู้ดี เราได้ยินเกี่ยวกับมันมาบ้างและคุณก็แทบจะไม่เอ่ยถึงมันเลย ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นั้น ฉันคิดว่าประมาณ 13 เดือนกับหนึ่งวันใช่ไหมคะ
JK : ใช่ ใช่เลยค่ะ คุณนี่สุดยอดมาก
OP : 13 เดือนกับอีกหนึ่งวัน คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตนเองบ้างคะ เพื่อไม่ให้มันเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
JK : อืม.. ฉันคิดว่าสิ่งแรกและสำคัญมากที่จะเอ่ยถึงการแต่งงานครั้งนั้น คือ ฉันจะขอเริ่มใหม่อีกครั้ง เป็นขั้นเป็นตอนไปก่อนจะมีเจสสิก้า คนที่สมควรจะได้อยู่ในที่อันน่าพิศมัยและเพียบพร้อมมากกว่านั้น ดังนั้น บางอย่างฉันไม่เสียใจค่ะ
OP : โอเคค่ะ
JK : แต่ฉันหมายถึงแค่การเริ่มสร้างครอบครัวใหม่นะคะ ไม่ได้หมายถึงว่าต้องการมีสามีที่เหมือนกับสามีคนแรกของฉัน
OP : ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พวกเรามักจะทำ
JK : ใช่ค่ะ ที่คุณถามว่า 'ฉันเรียนรู้อะไรจากการแต่งงานครั้งนั้น' ใช่ไหมคะ ฉันคิดว่าสิ่งที่มันสอนให้กับฉัน -- ซึ่งฉันเองก็ภูมิใจกับมันด้วย -- มันทำให้สัญชาตญาณบางอย่างของฉันเข้มแข็งขึ้น เพราะเมื่อฉันรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องไปต่อ ฉันก็จากมาเลย
OP : มันทำให้คุณรู้จักกับตัวเองมากขึ้นใช่ไหมคะ
JK : ในภายหลังนะคะ ฉันไม่สามารถพูดออกมาได้ในตอนนั้นจนกระทั่งฉันแน่วแน่ที่จะออกมาจากตรงนั้นและประสบการณ์นั้นจึงบอกฉัน ประมาณว่า ฉันรู้สึกเหมือนออกมาสู่ทางสว่าง ฉันรู้สึกตกใจและใจสลายเล็กน้อย ฉันมีลูกน้อยที่ผอมมากๆอยู่ในอ้อมแขนจากนั้นฉันก็จมตัวเองอยู่กับความยากจนและภาวะซึมเศร้า ในตอนนั้นฉันต้องการแสงแสว่างให้กับชีวิตอย่างมาก แต่กว่าฉันจะคิดได้ก็ตอนจากมากแล้ว ตอนที่เพิ่งรู้ว่าชีวิตแต่งงานของฉันเพิ่งจบลง ฉันก็คิดว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับฉันเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับแม่และยายของฉัน แล้วก็หลังจากนั้นอีก 7 ปีเลยกว่าฉันจะเจอผู้ชายที่ใช่สำหรับฉันจริงๆ แต่ก็ตั้ง 7 ปีเลยนะคะ
OP : แล้วคุณพร้อมไหมคะ สำหรับการแต่งงานใหม่ครั้งนี้
JK : ค่ะ ฉันพร้อมจริงๆ ในครั้งนี้
ในปี ค.ศ. 2001 โจแต่งงานอีกครั้งกับวิสัญญีแพทย์ นิลล์ เมอร์เรย์ โดยเป็นการจัดงานแบบส่วนตัวที่บ้านของพวกเขาในสก็อตแลนด์ ทุกวันนี้โจแและนิลล์มีลูกด้วยกัน 3 คนและพักอยู่ในแถบเอดินเบิร์ก
JK : มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง ประมาณสัปดาห์นึงก่อนที่ฉันจะได้เจอนิลล์ -- ฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความหวังให้กับผู้หญิงโสดทุกคนนะ -- ฉันจำได้ว่าฉันพูดคุยกับเพื่อนสนิทของฉันแล้วเพื่อนฉันก็ถามว่า "สรุปแล้วผู้ชายแบบไหนที่เธอชอบ" แล้วฉันก็ตอบไปว่า "ฉันอยากได้ใครสักคนที่ฉลาดเป็นกรด เพราะฉันให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากและผู้ชายคนนั้นจะต้องมีงานประจำทำเป็นรายได้หลัก" ฉันว่านี่คือพื้นฐานเลยนะ แล้วก็ยังต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความมีเมตตาและความจริงใจต่อตนเอง ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ฉันชอบ แล้วเธอก็มองมาที่ฉันแล้วพูดว่า "เหรอ ฉันว่าคงไม่มีผู้ชายแบบนั้นหรอก" ราวกับว่าฉันอ้อนวอนต่อ.. อะไรดีล่ะ ต่อโลกมั้ง --
OP : ราวกับอ้อนวอนต่อพระเยซูได้ไหมคะ (หัวเราะ)
JK : ใช่ค่ะ แบบนั้นเลย (หัวเราะ) แล้วฉันก็คิดว่า "ฉันคงไม่มีวันได้เจอคนแบบนี้จริงๆ นั่นล่ะ"
OP : แล้วคุณโอเคไหมคะ กับชีวิตคู่ครั้งใหม่นี้
JK : ฉันไม่เคยต้องร้องไห้ก่อนนอนเลยในทุกคืน ฉันอาจจะร้องก็ได้ แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
OP: ในช่วงที่กำลังเกิดเรื่องราวนี้ ฉันได้ยินมาว่าคุณยังคงห่างเหินกับพ่อของคุณเหรอคะ
JK : ใช่ ถูกต้องค่ะ
OP : จริงเหรอคะ
JK : จริงๆค่ะ มันยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นคนสาธารณะ แต่มันก็คือความจริงค่ะ
OP : คุณคิดที่จะพยายามประสานรอยร้าวบ้างไหมคะ
JK : ไม่ค่ะ ฉันคิดว่าคงไม่ ฉันว่ามันเป็นเรื่องใหญ่นะที่คุณรู้สึกเหินห่างกับพ่อแม่ของคุณเอง มันเห็นได้ชัดเจนว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ใหญ่และกระทบกระเทือนจิตใจต่อคุณมากจริงๆ
OP : คุณเองก็มีเหตุผลของคุณเองใช่ไหมคะ
JK : ฉันมีเหตุผลของฉันค่ะ
OP : อยากจะเล่าให้ฟังบ้างไหมคะ
JK : เรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ไม่ค่อยดีนัก -- จากมุมมองของฉันนะคะ -- มานานมาก แต่ฉันก็อยากได้ความเห็นใจบ้างนะคะ และฉันเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจมาเป็นเวลานาน จนมาถึงจุดหนึ่งที่ฉันได้โตขึ้นและรู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำแบบนั้นได้ต่อไปแล้วค่ะ
OP : คุณเสียใจไหมคะที่พ่อของคุณไม่ได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของคุณ
JK : อืม ความห่างเหินมันเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันประสบความสำเร็จน่ะค่ะ เขาเองก็อยู่ตรงนั้น ณ ชั่วขณะหนึ่ง แต่ฉันอยากจะบอกคุณด้วยความสัตย์จริงเลยนะ ฉันเสียใจมากกว่าที่แม่ของฉันไม่ได้อยู่เห็นความสำเร็จทั้งหมดของฉัน มันอาจจะดูไม่ดีเท่าไรนะ ฉันหมายถึงว่าเธอควรที่จะ... (ร้องไห้)
OP : คุณคิดว่าเธอจะรักเรื่องที่คุณเขียนไหมนะ
JK : ฉันบอกได้อย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าเธอจะต้องรักมันแน่นอนค่ะ
OP : แต่คุณก็เริ่มเขียนก่อนที่เธอจะจากไปไม่ใช่เหรอคะ
JK : ใช่ค่ะ แต่ฉันไม่เคยบอกเธอเลยว่าฉันกำลังเขียนมันไงคะ
OP : คุณไม่เคยบอกเธอเลยเหรอคะ
JK : ฉันควรจะทำแบบนั้นใช่ไหมคะ คุณรู้ไหม ฉันควรบอกเธอเกี่ยวกับแฮร์รี่และฉันรู้ว่าเธอจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน แล้วมันก็เป็นช่วงหกเดือนก่อนที่เธอจะตายฉันก็เริ่มเขียนมันแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยเล่าให้เธอฟังเลย
OP : คุณเสียใจกับเรื่องนี้ไหมคะ
JK: เสียใจอย่างมากเลยค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตใช่ไหมคะ ฉันคิดว่าถ้าแม่ของฉันไม่ตาย หนังสือชุดนี้ก็คงไม่ออกมาในรูปแบบที่มันควรจะเป็น ฉันหมายถึงว่าความตายของเธอแทบจะอยู่ในทุกๆ หน้าของหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ แล้วเกือบครึ่งของการผจญภัยของแฮร์รี่คือการเผชิญหน้ากับความตายในรูปแบบต่างๆ จะทำอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ต่อไป อะไรคือความหมายของความตาย ทำยังไงที่จะรอดจากความตาย มันปรากฏอยู่ในทุกๆ เล่มของชุดหนังสือนี้เลย
OP : ความรักของพ่อแม่ คือสิ่งที่จะอยู่กับคุณตลอดไปใช่ไหมคะ
JK : แน่นอนและยิ่งกว่าแน่นอนค่ะ ถ้าแม่ฉันไม่ตายฉันคงไม่กล้ายืนยันอย่างหนักแน่นว่าคงไม่มีแฮร์รี่ พอตเตอร์แบบทุกวันนี้ หนังสือชุดนี้เป็นอย่างที่มันเป็นเพราะการตายของเธอ เพราะว่าฉันรักเธอแล้วเธอก็จากฉันไป นั่นล่ะทำให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น
OP : ฉันพูดได้ไหมคะว่าชีวิตคุณมันดูค่อนข้างยุติธรรมที่... ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ เพราะฉันรู้มาว่าคุณเคยผ่านช่วงหนึ่งในชีวิตที่ต้องประสบกับภาวะซึมเศร้า แล้วฉันก็เพิ่งอ่านเจอว่าผู้คุมวิญญาณ มาจากช่วงเวลานั้นของคุณ
JK : แน่นอนเลยว่าใช่ค่ะ
ในโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ผู้คุมวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตศาสตร์มืดที่ดูดกลืนความสุขของมนุษย์และเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและความสิ้นหวัง และพวกมันยังสามารถดูดกลืนวิญญาณของมนุษย์ได้อีกด้วย
OP : กล้าพูดได้เต็มปากไหมคะว่า คุณใช้ทุกอย่างในช่วงเวลาสิบเจ็ดปีที่คุณเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งเรื่องที่ดี เรื่องที่เลวร้ายและเรื่องที่ไม่น่าจดจำ
JK : ใช่ค่ะ ถูกต้องอย่างยิ่งเลย
OP : แปลว่าคุณถ่ายทอดมันออกมาผ่านทางงานเขียนของคุณ อีกนัยก็คือผ่านเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งหมด
JK : ค่ะ ที่แน่ๆ เลยก็คือเรื่องโรคซึมเศร้า มันเป็นภาวะที่น่ากลัวที่สุดเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวมากๆ
OP : คุณเจอกับภาวะซึมเศร้าหลังจากการเสียชีวิตของแม่หรือเปล่าคะ ?
JK : ใช่ค่ะ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นทันทีมันมาหลังจากนั้นค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ แบบฉับพลันด้วย ในช่วงที่ฉันอายุ 25-28 ปีเป็นช่วงเวลาแห่งความมืดมนของชีวิตฉันเลย มันเป็นช่วงที่ฉันไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย แม้กระทั่งความหวังที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น และมันยากมากที่จะอธิบายความรู้สึกนี้ให้ใครสักคนฟัง คือมันไม่ใช่ความเศร้าน่ะค่ะ ฉันรู้ว่าความเศร้ามันเป็นยังไง มันไม่ใช่เรื่องแย่นะเพราะคุณยังร้องไห้ได้ นั่นแปลว่าคุณยังมีความรู้สึก แต่ภาวะซึมเศร้ามันไม่ใช่แบบนั้น มันมีแต่ความเยือกเย็นแล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ มันคือความว่างเปล่าจริงๆ นั่นล่ะค่ะคือสิ่งที่ผู้คุมวิญญาณจะกระทำต่อคุณ และคนที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็คือลูกสาวของฉันเอง
JK : แต่สุดท้ายแล้ว ฉันก็หยุดแสร้งทำเป็นว่าตัวฉันไม่มีอะไรเหลือแล้วซึ่งจริงๆ มันยังมีอยู่ และทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับงานเพียงชิ้นเดียวที่มีความหมายกับฉันมากเหลือเกิน ฉันรู้สึกเป็นอิสระเพราะได้ปลดปล่อยความคิดดีๆ ออกไป และฉันยังมีชีวิตอยู่แถมยังมีลูกสาวคนที่ฉันรักมากกว่าสิ่งอื่นใด แล้วยังมีเครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆ พร้อมกับไอเดียใหญ่ๆ เต็มหัว และมันได้กลายเป็นรากฐานให้ฉันได้ก่อร่างสร้างตัวอย่างมั่นคง ราวกับฉันได้เกิดใหม่อะไรแบบนั้นเลย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เจอความล้มเหลวบางอย่างในชีวิตเลย แม้ว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม มันก็อาจมาหาคุณได้เสมอตราบใดที่คุณยังมีชีวิตอยู่
OP : ฉันชอบที่คุณกล่าวสุนทรพจน์ที่ฮาร์วาร์ด คุณรู้สึกตื่นเต้นบ้างไหมคะที่ได้รับเชิญให้ไปพูดที่ฮาร์วาร์ด
JK : นิดหน่อยค่ะ แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถเอาชนะความกลัวที่สุดในชีวิตได้ ฉันรู้สึกว่ากล้าหาญมากในแบบที่ไม่ใช่ตัวเองมาก่อน กับการยืนอ่านกระดาษแผ่นหนึ่งที่ร่างขึ้นมาเตรียมไว้ก่อนแล้ว คุณรู้ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร ฉันเคยเป็นคนที่รู้สึกกลัวจนขึ้นสมองกับการพูดในที่สาธารณะแต่ละครั้ง
OP : ว้าว จริงเหรอคะ
JK : จริงๆ ค่ะ เหมือนกับการสลัดสิ่งที่แย่ๆ ออกไปจากตัวฉันเลย ฉันเคยไม่รู้ว่าจะต้องพูดออกไปยังไง ฉะนั้นฉันจะเตรียมตัวหนักมากในการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้ง ฉันทำได้ไม่ดีเลยกับการพูดต่อหน้าสาธารณะชน มันทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้ง แต่การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนั้นฉันกลับพบว่ามันไม่น่ากลัวเลยสักนิดและฉันผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย
OP : ใจความสำคัญของสุนทรพจน์ของคุณในครั้งนั้น สิ่งแรกที่ฉันคิดได้จากคำพูดของคุณคือ คุณเอาความยากลำบากในอดีตมาเป็นแรงผลักดันในการสร้างชีวิตใหม่ของคุณ แต่สิ่งที่คุณอยากจะสื่อออกมาจริงๆ คือจะใช้ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดันได้อย่างไรมากกว่า
JK : ถูกต้องเลยค่ะ ความล้มเหลวมันเป็นสิ่งสำคัญและมันแทบจะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เรามักจะพูดถึงความสำเร็จมากกว่า แทบจะตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ แต่คุณรู้ไหม ฉันไม่เคยรู้จักหรือพบกับความสำเร็จมาก่อนฉันเลยรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก อีกอย่างนะ ฉันได้พบกับคนพิเศษมากมายผ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เคยประสบกับความล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น และพวกเขาก็ไม่เคยยอมจำนนกับความล้มเหลวเหล่านั้นหรือไม่ก็ใช้มันเป็นแรงผลักดันไปสู่ความสำเร็จ ฉันเองก็เคยเจอกับคนที่กลัวความล้มเหลวเหมือนกันนะคะและพวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือทำอะไรสักอย่างเดียว เพียงเพราะกลัวว่ามันจะผิดพลาด นั่นล่ะคือความคิดที่จะพาคุณไปสู่จุดที่ตกต่ำ ซึ่งมันไม่สนุกเลยสักนิดและฉันไม่อยากจะกลับไปสัมผัสมันอีกแล้วเช่นกัน ฉันคิดว่าตนเองสูญเสียไปกับมันมากเกินพอแล้วล่ะค่ะ
OP : คุณไม่เคยคาดคิดว่ามันจะกลายมาเป็นอาณาจักรแบบนี้ใช่ไหมคะ ฉันหมายถึงทั้งสวนสนุก ตัวตุ๊กตา รวมทุกอย่างทั้งหมดในจักรวาลของพอตเตอร์
JK : ใช่ค่ะ ไม่เคยคิดเลย บางทีมันอาจจะทำออกมาไม่ดีก็ได้นะคะ
OP: แล้วคุณควบคุมมันได้ไหมคะ
JK : ไม่ค่ะ สำหรับฉันนะคะ ฉันรักหนังสือ ภาพยนต์และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแฮร์รี่ แล้วตอนนี้ก็กลายมาเป็นสวนสนุก ตอนที่พวกเขามาหาฉันพร้อมกับข้อเสนอที่วิเศษประมาณว่ามันควรจะออกมาในรูปแบบที่จับต้องได้จริงและใครๆ ก็สามารถมาสัมผัสได้หลายต่อหลายครั้งตามที่พวกเขาต้องการ ฉันได้ฟังไอเดียพวกนั้นแล้วก็ตอบไปว่าตกลง มันน่าจะวิเศษมากเลยนะแต่ส่วนหนึ่งก็คือฉันก็อยากทำมันด้วยล่ะค่ะ เพราะมันดูวิเศษมากเลย และพอลองคิดดูในแง่มุมของแฟนหนังสือ ถ้าฉันเป็นพวกเขา ฉันก็คงอยากมาเที่ยวสวนสนุกเหมือนกัน
OP : ในนิตยสารของฉันมีคอลัมภ์หนึ่งที่ฉันตั้งชื่อว่า "อะไรที่คุณรู้อย่างแท้จริง" และทุกเดือนที่ฉันจะเริ่มเขียนมัน ฉันมักจะรู้สึกว่า "ฉันไม่รู้อะไรเลย"
JK : ฉันดีใจจริงๆ นะคะที่คุณพูดแบบนั้น (หัวเราะ) เพราะฉันนคงตอบไม่ได้หรอกถ้าคุณถามว่าอะไรที่ฉันรู้อย่างแท้จริง มันยากจริงๆ ที่จะหาคำตอบนี้
OP : ใช่ค่ะ แม้ว่ามันจะเป็นบทนำของคอลัมภ์ แต่ถ้าพูดกันจริงๆ มันยากเหมือนกันนะคะถ้าจะตอบว่าคุณรู้จักสิ่งไหนอย่างแท้จริง
JK : ใช่เลยค่ะ
OP : แล้วสำหรับคุณล่ะคะ
JK : อืม ฉันคิดว่าที่แน่นอนจริงๆ คือ ความรักคือพลังที่มีอำนาจมากที่สุดมากกว่าสิ่งใด ฉันคิดถึงตอนที่เกิดเหตุการณ์ 9/11 มีโทรศัพท์หลายสายกลายเป็นสายสุดท้ายสำหรับใครหลายๆ คน สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากบอกต่อโลกนี้คือ "ฉันรักเธอ" มันจะมีพลังอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกล่ะ มีอะไรที่ดีกว่านี้อีกไหม พลังที่อยู่เหนือความกลัวและความตายด้วยนะคะ
OP: น่าสนใจที่คุณอ้างถึงเหตุการณ์ 9/11 นะคะ เพราะฉันก็ยังคงจำมันได้อยู่ตลอดเวลา
JK : มันยิ่งใหญ่มากและตะลึงในช่วงชีวิตของเรา ฉันยังจำได้ภาพติดตาที่มีบางคนหนีลงมาจากตึกนั่นไม่ได้
OP : พวกเขาหนีลงมาไม่ได้ค่ะ
JK : นั่นล่ะค่ะ ตอนที่ฉันเปิดโทรทัศน์และเห็นมัน ฉันรู้สึกเจ็บปวดมากเพราะฉันมีเพื่อนดีๆ อยู่ที่นิวยอร์กเหมือนกัน แล้วฉันก็ส่งเมล์ถึงพวกเขาสองคน หนึ่งในนั้นคือ อาเธอร์ ลิฟวินน์ บรรณาธิการของฉัน แล้วเขาก็ส่งเมล์กลับมาหาฉันในแทบจะทันทีและบรรทัดสุดท้ายในเมล์ของเขาก็คือ "เราไม่ควรสอนเด็กๆ เกี่ยวกับพวกปิศาจ เพราะตอนนี้เรามีตัวอย่างให้พวกเขาเห็นชัดเจนแล้ว"
OP : อะไรคือความฝันที่มีความสุขสำหรับคุณคะ
JK : อืม ในแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรก ที่ดัมเบิลดอร์บอกกับแฮร์รี่ว่าคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเมื่อส่องกระจกแล้วจะเห็นตัวเองเหมือนอย่างที่เขาเป็นอยู่จริงๆ ดังนั้นฉันอยากจะบอกคุณว่าฉันรู้สึกใกล้เคียงแบบนั้นเลยค่ะ
OP : แล้วคุณยังจะเขียนหนังสือต่อไปไหมคะ
JK : แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันหยุดเขียนไม่ได้ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะผ่านพ้นความยากลำบากมาแล้ว แต่ฉันจะไม่หยุดเขียนหนังสือแน่นอน เพราะมันคือชีวิตของฉันค่ะ
OP : นั่นยอดเยี่ยมมากค่ะโจ ขอบคุณมากสำหรับการพบกันครั้งนี้ค่ะ
JK : ขอบคุณเช่นกันค่ะ
แปลไทยและเรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง