J.K. : ฉันเป็นนักเขียนหญิง ที่น่าสนใจเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ คือ เมื่อคุณตัดลักษณะทางกายภาพออกไป ผู้หญิงก็สามารถสู้ได้เหมือนกับผู้ชาย ผู้หญิงสามารถใช้เวทมนตร์ที่ทรงพลังได้เหมือนกับผู้ชาย ฉะนั้นฉันจึงได้สร้างตัวละครเพศหญิงขึ้นมาหลากหลายรูปแบบในหนังสือชุดนี้
พูดในฐานะคนแต่ง ไม่มีตัวละครหญิงตัวใดเลยที่นำปัญหามาให้ฉัน แต่เป็นตัวละครชายต่างหากที่มักจะสร้างปัญหาให้ฉัน ขณะที่ตัวละครหญิงไม่เคยเลย แต่แฮร์รี่ สำหรับฉันก็ยังคงเป็นแฮรรี่และฉันไม่เคยต้องการจะเปลี่ยนแปลง เพราะการสลับเพศ (ตัวละครหลัก) ไม่ได้ทำง่ายๆ เหมือนกับเอาชุดกระโปรงไปสวมให้พร้อมกับตั้งชื่อน่ารักๆ อีกอย่างคือมันยังมีความแตกต่างเล็กน้อย ในการเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ดังนั้น หนังสือชุดนี้ก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ สักเท่าไร - ฉันคิดว่านะ
Bonnie Wright : ถ้าพูดถึงประเด็นที่ว่าตัวละครเอกเป็นผู้ชาย ในช่วงแรกของเรื่องโจไม่ได้ถ่ายทอดและแสดงความแข็งแกร่งของผู้หญิงผ่านตัวละครมากเท่าไรนัก แต่เมื่อภาพยนต์เริ่มออกมาเรื่อยๆ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจึงค่อยๆ ปรากฏออกมามากขึ้น
J.K. : ที่ฉันสนใจมากเกี่ยวกับแฮร์รี่ก็คือ ตลอดทั้งเรื่องราวเขาคือเด็กชายที่คล้ายคลึงกับพ่อของเขามาก แต่ว่าในยามที่คับขันจริงๆ แม่ของเขาคือเกราะคุ้มภัยที่ดีที่สุด และมันก็ไม่ยากที่หาเหตุผลว่าทำไมนะ แม่ของฉันตายในช่วง 6 เดือนที่ฉันเพิ่มเริ่มเขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ จากนั้นฉันก็ได้กลายเป็นแม่ของลูกสาวฉันเอง ดังนั้นในฐานะแม่และในฐานะลูกสาว ฉันคิดว่าบางทีความรักในรูปแบบนี้อาจไม่ได้อยู่กับเรายาวนานอย่างที่มันควรจะเป็น แต่มันก็คือสิ่งที่จะสร้างตัวตนของพวกเราคนหนึ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ดีหรือไม่ดี
ที่ฉันจึงตั้งมูลนิธิลูมอส - ซึ่งเป็นองค์กรสำหรับเด็กยากไร้ในยุโรปตะวันออก - ขึ้นมา เพราะฉันพบว่ามีเรื่องที่น่ากังวลใจหลายๆ อย่าง นั่นคือ ระบบความคิดของเด็กกำพร้า จะมีความเสียหายบางอย่างที่วัดค่าได้ ซึ่งเป็นผลจากการที่พวกเขาต้องพรากจากพ่อแม่ของพวกเขาเอง และต้องไปอยู่ในสถานโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ที่ฉันบอกว่า "วัดค่าได้" นั่นหมายถึงว่าคุณสามารถลองสแกนสมองของพวกเขาดูได้เลย แล้วคุณจะเห็นร่องรอยความเสียหายที่พวกเขาได้รับซึ่งมันไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ด้วย
จากความจริงข้อนี้ ฉันเลยเขียนให้แฮร์รี่ได้รับความรักอย่างมากมายในช่วงหลัง ซึ่งเป็นการให้เกราะป้องกันกับเขา เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น ความคิดของเขาจะเติบโตขึ้นมาในเส้นทางเดียวกันกับความคิดของโวลเดอมอร์ เพราะ โวลเดอมอร์ใช้ชีวิตในช่วงแรกของเขาที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้น แน่นอน ลิลี่จึงเป็นเหมือนเกราะคุ้มภัยในแบบที่พ่อไม่สามารถทำได้
แฮร์รี่ถูกพูดกรอกหูอยู่เสมอว่า "เธอเหมือนกับพ่อของเธอมาก" และเขาก็เจิบโตขึ้นมาด้วยความคาดหวังว่าจะเหมือนพ่อของเขา แต่ลิลี่มีบางสิ่งที่ต่างออกไป เธอคือคนที่ยืนอยู่ข้างเปลเด็กและพยายามจะหยุดยั้งความตายของลูกชายเธอ
แน่นอน.. ว่าความรักของแม่ คือหัวใจหลักของหนังสือชุดนี้
Emma Watson : ฉันคิดว่าโจเยี่ยมมากที่ให้คุณนายวีสลีย์เป็นคุณแม่ต้นแบบ และเขียนบทให้เธอในการดูแลครอบครัวให้อยู่พร้อมหน้า และยังคอยดูแลแฮร์รี่รวมทั้งกองทัพดัมเบิลดอร์ทั้งหมด
Julie Walter : นอกจากตัวละครหลักสามตัว แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ฉันคิดว่าคุณนายวีสลีย์มีพลังที่เก่งกาจอยู่ภายใน เธอคือแม่ของโลกใบนั้นและฉันคิดว่านั่นล่ะคือความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง
J.K. : สิ่งที่ฉันประทับใจในตัวจูลี่คือ เธอมีเซนส์ที่ทำให้ฉันสัมผัสได้อยู่เสมอ นั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่แค่ดูอบอุ่นและเจ้าเนื้อหรือแม่บ้านยุค 50 ที่วันๆ เอาแต่ยุ่งอยู่แค่ในครัว เนื้อแท้เธอคือหญิงเหล็กขนานแท้ บางทีคุณอาจบอกว่าเธอควรจะมีนั่นล่ะสำหรับคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงเฟร็ดกับจอร์จไม่งั้นคุณได้ประสาทเสียแน่ๆ ยังไงก็เถอะ เธอคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับฉัน ณ การต่อสู้ในห้องโถงใหญ่ เธอก้าวออกมาแล้วชี้หน้าว่า "ยัยลูกหมา หล่อนต้องเจอกับฉัน" และอย่างที่คุณคิดล่ะ "แน่นอน มาเจอกันได้เลย" เบลลาทริกซ์เล่นกับผู้หญิงผิดคนเสียแล้ว
Julie Walter : มันออกมาจากเบื้องลึกในใจเธอ ความรู้สึกที่ต้องปกป้องลูกๆ ซึ่งเธอเสียไปแล้วหนึ่งคน นั่นมันคือความรู้สึกของแม่สิงโตหรือเสือที่ต้องการจะปกป้องลูกๆ ของมัน เมื่อมันถูกเปิดออกแล้วมันจะไม่มีทางหยุด ซึ่งน่าอัศจรรย์มาก บางทีก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันนะ ถ้าโจเลือกให้เป็นผู้ชายออกมาจัดการ มันจะเป็นอย่างไร
J.K. : ฉันสนุกมากกับการฆ่าเบลลาทริกซ์ (หัวเราะ) และฉันสนุกจริงๆ ที่ให้มอลลี่เป็นคนลงมือ และแน่นอน คุณจะเห็นถึงความแตกต่างสุดขั้วของผู้หญิงสองคนนี้ที่กำลังฟาดพลังใส่กัน คุณมีมอลลี่ซึ่งสามารถเป็นแม่ของคนทั้งโลกได้ และคุณมีเบลลาทริกซ์ผู้ซึ่งมีแนวคิดเรื่องความรักที่ผิดและบิดเพี้ยนไป นั่นคือความลงตัวอย่างมาก
แต่ยังมีเรื่องอื่นๆอีกนะ เกี่ยวกับวิธีการว่าเบลลาทริกซ์จะพบจุดจบยังไง และนี่มันสำคัญมากสำหรับฉัน ในช่วงแรกที่หนังสือชุดนี้ออกไป ฉันจำได้ว่ามีนักวิจารณ์หญิงคนหนึ่งบอกกับฉันว่า "คุณนายวีสลีย์น่ะ คุณรู้อะไรไหม เธอก็แค่แม่คนหนึ่ง" และฉันก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมากเลยนะกับความเห็นแบบนั้น ตอนนี้.. ฉันคิดว่าตัวฉันเองกลายเป็นนักเรียกร้องสิทธิสตรีไปแล้วล่ะ และฉันต้องการจะสื่อให้เห็นว่า แค่เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเลือกทางเดินของเธอว่า "โอเค ฉันเลือกที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของฉัน แต่ฉันอาจกลับไปทำงานประจำหรืองานนอกเวลา แต่นั่นมันก็ทางเลือกของฉัน" มันไม่ได้แปลว่าเธอสามารถทำได้เพียงแค่นั้น และเราได้เห็นแล้วในสงครามเล็กๆ นั่น มอลลี่ วีสลีย์ ได้แสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถเทียบเท่ากับนักรบคนอื่นๆ ในสนามรบได้เช่นกัน
J.K. : ฉันยังชอบบทบาทของศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่เธอแสดงให้เห็นว่า เธอสามารถทำอะไรได้บ้าง
Bonnie : บรรดาอาจารย์ต่างเก็บกดกันมากกับสภาพของฮอกวอตส์ภายใต้ระบบการปกครองใหม่ พวกเขาอดกลั้นมานานและในที่สุดก็ลุกขึ้นต่อสู้กับฝ่ายมืด ซึ่งฉันประทับใจมากที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของเธอ
J.K. : ฉันไม่ชอบให้ผู้หญิงต้องหลบอยู่เงียบๆ เมื่อถึงเวลาต่อสู้ พวกเราเองก็เข้าไปสู้ได้เหมือนกัน ความจริงแล้วฉันอยากให้มันเป็นแบบนั้นเพราะในแบบร่างแรกๆ ของฉัน.. ฉันรู้ดีว่าจะต้องถึงจุดๆ หนึ่งที่แฮร์รี่ต้องเผชิญหน้ากับสเนปและฉันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้น ดังนั้นเมื่อเขียนลงหนังสือจริง มิเนอร์ว่า มักกอนนากัล คือตัวเลือกที่ดีและสำคัญที่สุด
J.K. : ฉันมีสมาชิกบางส่วนของภาคีนกฟินิกซ์ที่เป็นผู้หญิงและต่อสู้เคียงข้างกับผู้ชาย และแน่นอนฉันต้องการให้เห็นถึงผู้หญิงบางคนในฝั่งของผู้เสพความตายด้วย และเบลลาทริกซ์คือผู้เสพความตายหญิงที่โดดเด่นกว่าใคร
Helen McCrory : เบลลาทริกซ์ไม่ใช่แบบอย่างที่ดีแน่นอน ถ้าคุณคิดจะทำอย่างเธอนะ แต่เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อโวลเดอมอร์และเธอติดตามเขาราวกับเป็นเงาตามตัว
J.K. : สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับจิตใจส่วนลึกของผู้หญิงคือ เราอยากจะเจอผู้ชายสักคนที่ทำให้เราปลดปล่อยส่วนลึกตรงนั้นออกมา นั่นคือสิ่งที่ฉันเห็นในตัวเบลลาทริกซ์ โวลเดอมอร์คือวีรบุรุษของเธอ เขาเข้าไปอยู่ในใจของเธอและเป็นเขาคนเดียวเท่านั้นที่เธอจะยอมเป็นข้ารับใช้ เธอเป็นคนที่แปลก จะใช้คำว่าอะไรดี โรคหลายบุคลิกหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ เอาเป็นว่าเธอเป็นผู้หญิงประหลาดและเฮเลนน่าก็แสดงมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Helenna Bonham Carter : ในความคิดของเบลลาทริกซ์ เธอคือสมุนเอกเพียงคนเดียวของเขา เธอยอมเข้าอัซคาบัน เธอพร้อมที่จะตาย เธอบูชาความยิ่งใหญ่และเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาทำ
J.K. : อย่างไรก็ตาม เบลลาทริกซ์และนาร์ซิสซา ฉันมีความรู้สึกลึกๆ ถึงตัวตนของสองพี่น้องนี้ นาร์ซิลซ่าเป็นคนที่อ่อนโยนกว่ามาก
Helen : น่าสนใจมากนะที่ โจ โรว์ลิง เลือกให้มันเป็นแบบนั้น เธอบอกฉันว่าผู้หญิงคนนี้ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยลูกชายของเธอ แต่ขณะเดียวกันก็ยังพร้อมที่ยอมจงรักภักดีกับจอมมารและจะรักษามันไว้ด้วยชีวิต
J.K. : มีบางคนบอกว่าเดรโกไม่ใช่ตัวละครที่ชั่วร้ายเพราะเขาได้ส่วนที่ดีมาจากแม่ แต่จริงๆแล้วฉันต้องการสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ลิลี่ได้ทำไว้ในตอนเริ่มต้นของเรื่องที่ส่งมาถึงตอนจบของเรื่องด้วย ในตอนต้นลิลี่ยอมตายเพื่อช่วยชีวิตลูกชายของเธอ และในตอนจบที่แฮร์รี่นอนแกล้งตายอยู่บนพื้น เขาถูกช่วยชีวิตอีกครั้งจากแม่คนหนึ่งที่พยายามจะช่วยชีวิตลูกชายของเธอเอง นั่นล่ะคือวัฏจักรที่ฉันอยากให้มันกลับมาอีกครั้งในตอนจบ เขาถูกช่วยชีวิตไว้โดยลิลี่ในตอนเริ่ม และเขาถูกช่วยชีวิตอีกครั้งโดยนาร์ซิสซาในตอนจบ
J.K. : ฉันได้พยายามนำเสนอมุมมองของฉันต่อโลกลงไปในหนังสือ สิ่งหนึ่งที่ฉันพบและเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่สุดในชีวิตคือ การเอาความชอบธรรมของตนเองปกปิดความถูกต้อง ซึ่งนั่นคืออัมบริดจ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และเธอค่อนข้างจะซาดิสม์พอๆ กับเบลลาทริกซ์เลยนะ แต่ว่าภายใต้ความถูกต้องไง คุณก็รู้ใช่ไหม "เพราะว่าฉันทำงานให้กับกระทรวงน่ะสิ"
นั่นล่ะ... ยายผู้หญิงร้ายกาจ
Emma Watson : เธอเป็นผู้หญิงที่ภายในน่ากลัวมากๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอจะเต็มไปด้วยชุดคลุมขนปุย สีชมพูอ่อนหวาน แล้วก็.. (ถอนหายใจ) แต่พอได้รู้จักเธอจากข้างใน เธอมันปิศาจ ปิศาจของแท้เลย
Imelda Staunton : ฉันคิดว่าจริงๆแล้วเธอมีอำนาจในมือน้อยมากและพยายามอย่างยิ่งที่จะยึดมันไว้ เพื่อใช้กำจัดคนอื่นออกไปให้มากที่สุดจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของเธอจะมาถึง
J.K. : ฉันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวละครหญิงทั้งหลายนี้ ฉันเอามาจากผู้หญิงบางคนที่ฉันรู้จัก แต่เฮอร์ไมโอนี่คือตัวฉันที่เป็นมากกว่าตัวฉัน นั่นคือ เฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้วงลึกในตัวของฉันเอง ฉันเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเลยและยังคงเป็นอยู่บ้างจนทุกวันนี้ในหลายๆเรื่อง แต่ฉันเป็นคนไม่มั่นใจในตนเองมานานมากจริงๆ กว่าฉันจะยอมรับมันได้ ในตอนที่เขียนเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่เติบโตจากเด็กสาวจนเป็นผู้หญิง เพราะตอนที่หนังสือจบเธออายุ 18 ปี มันทำให้ฉันคิดได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นยากเย็นแค่ไหน มีหลายสิ่งที่ผู้คนคาดหวังจากคุณเมื่อคุณโตเป็นผู้หญิง และบ่อยครั้งมากที่คุณต้องสูญเสียหรือละทิ้งบางส่วนของการเป็นเด็กผู้หญิงทิ้งไป แต่เฮอร์ไมโอนี่เธอไม่ใช่แบบนั้น.. เธอไม่ได้เล่นไปตามเกมส์ของชีวิต
Emma : สิ่งที่รอนชอบล้อเลียนเฮอร์ไมโอนี่มักเกี่ยวกับความฉลาดของเธอที่วันๆเอาแต่อยู่ในห้องสมุด คุณรู้อะไรไหม ฉันเองก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน พวกผู้ชายมักชอบเหน็บแนมเวลาที่ฉันทำได้ดีหรือฉลาดกว่า ดังนั้นฉันจึงแสดงมันออกมาได้ดีมากๆ
J.K. : ในตอนแรกที่ฉันได้คุยกับเอ็มม่า ฉันคิดว่า โอ้! ขอบคุณพระเจ้า ฉันพูดแบบนั้นจริงๆ เพราะอะไรคุณรู้อะไรไหม ใครกันจะมาแสดงเป็นเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งฉันกังวลมากเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่มากกว่าตัวละครใดๆเลย ฉันคิดว่า "คุณจะเอาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาใส่แว่นเพียงเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเธอฉลาดงั้นเหรอ" มันกี่ครั้งแล้วล่ะที่เราเห็นภาพลักษณ์แบบนั้น และฉันพูดกับเอ็มม่าผ่านทางโทรศัพท์ เธอยังเด็กมาก ฉันคิดว่าตอนนั้นเธอน่าจะ 10 ขวบได้นะ และฉันบอกไปว่า "เธอกำลังจะได้เล่นเป็นเด็กสาวที่ฉลาดมากและมั่นใจในตัวเอง เพราะนี่คือตัวตนของหนูนะ"
Emma : ฉันรู้สึกกดดันอยู่ตลอดเวลาเลยนะ เพราะถ้าเกิดว่าฉันทำบทเฮอร์ไมโอนี่พังนั่นคือฉันจะทำบางส่วนของโจพังไปด้วย ซึ่งมันต้องแย่มากแน่ๆ ฉันจำได้ว่าเธอเขียนจดหมายมาหาฉันหลังจากภาพยนต์ตอนที่ 3 ออกฉาย เธอเขียนว่า "แด่เฮอร์ไมโอนี่ที่สมบูรณ์แบบของฉัน" การได้ยินแบบนั้นจากคนที่สร้างเธอขึ้นมาคือคำชมที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับฉัน และนั่นล่ะทำให้ฉันรู้ว่าฉันทำงานของฉันได้ดีมากแล้ว
J.K. : ฉันคิดว่าตัวละครหลักทั้งสามนั้นลงตัวมากและส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นแบบนั้นก็คือความเป็นผู้ชายผู้หญิงของพวกเขาแล้วฉันก็สนุกกับมันด้วยนะ ในเล่มเครื่องรางยมทูต ตอนที่ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันในเต็นท์แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็พูดออกมาว่า "ฉันเพิ่งเห็นว่าเป็นฉันคนเดียวที่ทำอาหารพราะฉันเป็นผู้หญิง" แล้วรอนก็พูดว่า "ไม่ใช่ เพราะว่าเธอเป็นแม่มดที่เก่งที่สุด เราให้เธอใช้มันทำอาหารมากกว่า" (หัวเราะ) ดังนั้นมันสนุกมากเลยนะที่ได้เล่นมุขนี้
Emma : พวกเขาอยู่ไม่รอดแน่ถ้าไม่มีเธอ เธอคือมันสมองของกลุ่มจริงๆ เธอใช้คาถาได้ยอดเยี่ยม เธอก้าวไปก่อนสองก้าวอยู่เสมอ เธอมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องราวนั้น มีคุณแม่มากมายจนฉันนับไม่ไหวมาบอกฉันว่า “ขอบคุณมากนะที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกสาวของฉัน พวกเธออยากเป็นแบบเฮอร์ไมโอนี่” นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ได้แสดงเป็นเธอ
J.K. : ฉันอยากจะให้เฮอร์ไมโอนี่เป็นต้นแบบให้กับเด็กผู้หญิงหลายๆคน คุณรู้ไหม ฉันเป็นคนที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเลย ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่นะในตอนที่คุณยังเป็นเด็ก ฉันเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ชอบอ่านหนังสือ หน้าตกกระ เรียนเก่ง วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ และฉันพยายามหาว่ามีใครเป็นอย่างฉันบ้างจากหนังสือที่ฉันอ่าน แน่นอนว่าฉันไม่เจออะไรเลย ฉันจำได้แค่ว่ามี โจ มาร์ช คนเจ้าอารมณ์ที่อยากเป็นนักเขียน นั่นคืออย่างเดียวที่ทำให้ฉันอยากเป็นนักเขียน แล้วก็มีวีรสตรีในหนังสือ เดอะ ลิตเติล ไวท์ ฮอร์ส ที่ฉันมักพูดถึงเธออยู่บ่อยๆ แล้วเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาซึ่งมันสุดยอดมาก ที่ว่า คุณก็สามารถเป็นวีรสตรีได้โดยไม่ต้องมีหน้าตาที่สละสวย แต่นั่นมันก็แค่รายเอียดปลีกย่อยนะ
ตอนที่ฉันคิดตัวละครเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมา ฉันต้องการสร้างเด็กผู้หญิงที่จะกลายเป็นวีรสตรี เธอไม่จำเป็นต้องเซกซี่ ใส่แว่นหนาเตอะ หรือมีรูปลักษณ์ที่ดูไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ คุณเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม เธอคือเด็กผู้หญิงในแบบเด็กผู้หญิงจริงๆ เธอแอบชอบรอนและคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ นั่นล่ะคือเด็กผู้หญิง แต่เธอไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นคนฉลาด ไม่ยอมรับว่าเคยทำอะไรที่โง่ๆ ลงไป เธอไม่เคยต้องแกล้งทำตัวเองให้ดูด้อยค่าลงเพื่อให้รอนรู้สึกดี ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมทั้งคู่ถึงเข้ากันไม่ได้เลยในตอนแรก (หัวเราะ) นั่นล่ะคือชีวิตจริง แต่ฉันก็ภูมิใจในตัวเฮอร์ไมโอนี่ เธอก็ยังคงเป็นเธอ และถ้านั่นเป็นการแสดงถึงเด็กผู้หญิงทั่วไปอย่างเช่นฉัน ฉันจะภูมิใจอย่างมาก
Emma : ตัวละครหลักหญิงในเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่บทเสริมอย่างที่ฉันเคยรู้จักมา แม้แต่จินนี่ก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเวทมนตร์ที่ทรงพลัง หัวดื้อ ฉลาด และมีไหวพริบ เธอคือเด็กผู้หญิงที่แข็งแกร่งในอีกรูปแบบหนึ่ง
Bonnie : จินนี่คือตัวละครที่ได้แบบมาจากผู้หญิงที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ซึ่งสื่อให้เห็นถึงบุคลิกของผู้หญิงได้อย่างชัดเจนและเธอยังแสดงให้เห็นถึงความเซ็กซี่ของผู้หญิงแม้จะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ตาม ฉันจึงคิดว่าตัวละครหญิงที่ โจ โรวลิงสร้างขึ้นมานั้นสุดยอดมาก เพราะพวกเธอมีความเป็นธรรมชาติในแบบที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
Emma : เธอจริงใจกับตัวเองเสมอโดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นซึ่งฉันคิดว่านั่นคือจุดเด่นของเธอ
Emma : แม้แต่ลูน่าซึ่งเป็นคนไม่สนใจอะไร วันๆเธออยู่แต่ในโลกของเธอและยึดมั่นในสิ่งที่เธอเชื่อ แต่เธอก็เป็นคนที่ฉลาด ฉลาดมากๆด้วย
J.K. : ตัวตนที่แท้จริงของลูน่าคือ เธอมีคุณลักษณะที่ได้หาได้ยากมาก คือ เธอไม่สนใจหรอกว่าใครจะคิดยังไงเกี่ยวกับเธอ แม้แต่พวกเราผู้ใหญ่ที่โตๆกันแล้วเนี่ย หากถามว่าเคยเจอคนแบบเธอสักกี่คนล่ะ ฉันว่าหลายคนคงตอบว่าไม่เคยเลย และลูน่าก็เป็นแบบนั้น เธอไม่สนใจ เธอพอใจที่จะแตกต่างจากคนอื่นโดยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น และฉันสนุกมากเวลาที่เขียนถึงตอนที่ลูน่าและเฮอร์ไมโอนี่อยู่ด้วยกัน เพราะว่าลูน่ากับเฮอร์ไมโอนี่นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ฉันก็รักทั้งคู่เท่ากันเลยนะ บางครั้งมันยากนะที่ผู้หญิงจะพูดออกมาว่า “ก็ฉันเป็นคนแบบนี้ล่ะ และฉันไม่เสแสร้งเป็นอย่างอื่นแน่นอน” แต่ว่านั่นล่ะคือทางเดียวที่จะได้พบกับความสุขที่แท้จริง และนั่นคือสิ่งที่ฉันอยากบอกแก่เด็กผู้หญิงทุกคน
แปลไทยและเรียบเรียงโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง