ย้อนไปในช่วงปี 2018 – 2022 เป็นช่วงที่การรณรงค์เรียกร้องสิทธิให้กลุ่มคนข้ามเพศ (Transgender) กำลังมาแรง กลุ่มนักเคลื่อนไหวพยายามชูประเด็นเรื่อง เด็กข้ามเพศ (Trans children) ขึ้นมาเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องด้วย โดยมีสาระสำคัญว่า ถ้าเด็กต้องการข้ามเพศ ผู้ใหญ่ควรต้องสนับสนุน โอบอุ้ม ไม่ปฏิเสธความต้องการของเด็ก เพราะ ไม่เช่นนั้น นี่จะเป็นหนึ่งในการปฏิเสธการมีอยู่ของกลุ่มคนข้ามเพศ และอาจผลักให้เด็กกลุ่มนี้ฆ่าตัวตาย
กระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ จึงมอบหมายให้ GIDs (ศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรื่องเพศแก่เยาวชน) เข้ามารับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ โดยมีศูนย์บริการอยู่ที่เมือง Tavistock และ Portman Trust (และอีกกว่า 60 คลินิกทั่วอังกฤษที่เข้าร่วม)
องค์กร Mermaids ซึ่งชูแคมเปญเรื่อง เด็กข้ามเพศ (Trans children) ได้มีความร่วมมือกับคลินิก GIDs ใน Tavistock เพื่อที่จะส่งตัวเด็กที่เข้ามาขอคำปรึกษาให้ไปยังที่คลินิกนั้น ที่ผ่านมาสาธารณชนเข้าใจว่า GIDs เป็นคลินิกที่ให้คำปรึกษาเท่านั้น แต่ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีจาก 2018 ถึง 2020 จำนวนตัวเลขเด็กที่ต้องการข้ามเพศได้เพิ่มอย่างก้าวกระโดด คนบางกลุ่มจึงเริ่มออกตั้งคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ จำนวนเด็กที่ระบุตัวเองว่าเป็นคนข้ามเพศถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีข้อสังเกตว่า เด็กที่ระบุตัวเองว่าเป็นคนข้ามเพศนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กผู้หญิง กลุ่มเด็กออทิสติกและกลุ่มเด็กที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) พวกเขาเริ่มตั้งคำถามถึงกระบวนการทำงานทั้งขององค์กร Mermaids และ GIDs โดยเฉพาะที่สาขา Tavistock
แน่นอนว่ากลุ่มคนที่ออกมาตั้งคำถามเรื่องนี้มีราคาที่ต้องจ่าย พวกเขาถูกรุมประณาม ถูกตามล่า ถูกคุกคาม ด้วยข้อกล่าวหาว่า การตั้งคำถามของพวกเขากำลังสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มคนข้ามเพศ หลายคนโดนไล่ออกจากงาน เพียงเพราะแสดงความกังวลในทำนองที่ว่า มันเร็วเกินไปหรือเปล่าที่จะยอมให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ารับการรักษาที่ต้องบำบัดด้วยยาและฮอร์โมนตลอดชีวิต
ข้อมูลซึ่งค่อยๆ ได้รับการเปิดเผยในภายหลังพบว่า ทีมแพทย์ที่ GIDs รวมทั้งพนักงานและคนขององค์กร Mermaids ไม่มีใครที่มีความรู้เฉพาะด้านในเรื่องนี้เลยสักคนเดียว (เรื่องการแปลงเพศในกลุ่มผู้เยาว์) แต่พวกเขากลับให้คำแนะนำทางการแพทย์แบบผิดๆ ซึ่งเป็นการผลักดันให้เด็กเข้ารับการแปลงเพศ เช่น การส่งผ้ารัดหน้าอกให้เด็กผู้หญิง ให้ยายับยั้งการเจริญพันธุ์ (puberty blocker) มีเด็กกว่าพันคนที่ถูกหลอกให้เข้าใจว่าพวกเขาเป็นคนข้ามเพศและต้องเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ทั้งที่ในความจริงพวกเขาอาจกำลังเผชิญภาวะความแปรปรวนทางอารมณ์ซึ่งเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยรุ่นเท่านั้น
เมื่อวานนี้ (10 เม.ย.) BBC radio ได้เผยแพร่ผลการวิจัยของ พญ. Hilary Cass จิตแพทย์เด็กที่เคยทำงานให้กับ GIDs (ศูนย์บริการให้คำปรึกษาเรื่องเพศแก่เยาวชน) จนแฮชแท็ก #CassReview ติดเทรนทวิตเตอร์ที่อังกฤษ
พญ. Cass ได้ข้อสรุปว่า กระบวนการที่ GIDS ดำเนินมาตลอดในช่วง 2019 – 2021 นั้น ไม่มีความปลอดภัยและทิ้งความเสียหายอย่างมหาศาลไว้ให้กับเด็กกว่าพันคน ที่ตอนนี้กลายเป็นกลุ่ม detransitoner* กันแทบทั้งหมด
ถึงตรงนี้.. ผมอยากให้ทุกท่านที่เพิ่งได้อ่านบทสรุปคร่าวๆ ลองคิดตามว่าเรื่องนี้ มันฉาวโฉ่และสร้างความเสียหายที่ไม่มีวันย้อนกลับได้มากแค่ไหน เด็กถูกหลอกว่าฉันต้องแปลงเพศตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลายคนถูกตอนอวัยวะเพศทิ้ง เพราะความเข้าใจผิดๆ และไม่มีข้อมูลที่ชี้ชัด และคนที่ออกมาท้วงติง ต่างถูกด่า ถูกประนาม ถูกล่าแม่มด ภายใต้ข้อกล่าวหาว่าเหยียดคนข้ามเพศ
และถึงแม้ความจริงจะเผยออกมาแล้ว กลุ่มคนที่ยังเชื่อพวก trans activists ได้พยายามกล่าวหาและดิสเครดิตหมอ Cass อย่างไม่ลดละ
เจ.เค.โรว์ลิง นั่งฟัง #CassReview มาตลอดทั้งวันพร้อมทั้งย้อนอ่านบทความฉบับเต็มของ พญ. Hilary Cass จึงออกมาทวิต แม้เราไม่อาจรู้ได้ว่าการอ่านข้อความนั้น ผู้เขียนกำลังรู้สึกอย่างไร แต่ทวิตยาวของ เจ.เค.โรว์ลิงนี้ ผมเชื่อว่าเธอกำลังโกรธมาก
“สี่ปีที่ผ่านมา Hilary Cass ได้ทำการทบทวนหลักฐานข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับการแปลงเพศในกลุ่มเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ข้อมูล ความเกรี้ยวกราดของกลุ่มที่ยังยึดถืออุดมการณ์นั้นกลับเพิ่มเป็นสองเท่า คนพวกนี้ออกมาประนามคนที่ออกมาท้วงติงว่า #เป็นพวกขวาจัด ทั้งที่เราพยายามตรวจสอบ ถ่วงดุลความถูกต้องและเหมาะสม เพื่อไม่ให้เด็กที่เป็นออทิสติก เกย์ หรือถูกกลั่นแกล้งต้องกลายเป็นหมันไม่สามารถสืบพันธุ์ได้อีกตลอดชีวิต”
“ฉันเดาได้ว่าบทสรุปของเรื่องนี้คือการพยายามตามล่าและทำลายล้างคนที่ออกมาสนับสนุนและให้ข้อมูลเพิ่มเติม ไปจนถึงการพยายามป้ายสีว่าพวกเขาเป็นพวกหัวรุนแรงและหวาดกลัวคนข้ามเพศ แต่การพยายามดิสเครดิตงานของหมอ Hilary Cass ไม่ใช่ความเข้าใจผิดแต่เป็นการประสงค์ร้ายอย่างจงใจ แม้ตอนนี้พวกคุณจะไม่ละอายใจกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตอนนี้ คือ ความบกพร่องต่อจริยธรรมทางการแพทย์อย่างร้ายแรง คุณอาจไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองคิดผิด แต่คุณยังพอมีจิตสำนึกต่อตนเองกันบ้างไหมว่าขบวนรถที่คุณกระโดดขึ้นกันไปก่อนหน้านั้นกำลังพุ่งชนหน้าผาแล้ว”
“ที่พิมพ์มานี่ฉันดูโกรธอยู่ใช่ไหม ใช่ ฉันโกรธมาก ฉันอ่าน #CassReview ตั้งแต่เช้าแล้วและความโกรธของฉันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเด็กๆ ได้รับอันตรายและความเสียหายแบบย้อนกลับไม่ได้จากผู้ใหญ่หลายพันคนที่สมรู้ร่วมคิดกันทำ ยังไม่รวมถึงพวกเซเลบคนดัง สื่อที่ไม่กล้าตั้งคำถามและบริษัทห้างร้านที่กลัวการถูกคว่ำบาตร – ผลที่เกิดขึ้นนี้จะคงอยู่ต่อไปอีกหลายทศวรรษแน่นอน พวกคุณที่ส่งเสริมและผลักดันเรื่องนี้ ยังทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางและบิดเบือนการวิจัย กลั่นแกล้งผู้อื่นให้ต้องเสียการเสียงาน ปล่อยให้เด็กวัยรุ่นเข้ารับการทดลอง เป็นหมันและซึมเศร้าไปตลอดชีวิต”
คราวนี้ก็มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ได้ทวิตถาม เจ.เค.โรว์ลิง ว่า
“ฉันกำลังรอแดนและเอ็มม่า ขอโทษคุณผ่านสื่ออย่างเป็นทางการ หวังว่าคุณจะให้อภัยพวกเขานะ”
ที่ผ่านมา เมื่อมีการเอ่ยชื่อกลุ่มนักแสดงจากภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เคยออกมาประณาม เจ.เค.โรว์ลิงว่าเกลียดชังคนข้ามเพศ เจ.เค.มักจะหลีกเลี่ยงและไม่โต้ตอบ
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับคราวนี้..
“คงไม่ได้หรอก ฉันไม่ให้อภัย พวกเซเลบที่เข้าร่วมขบวนการที่จงใจทำลายสิทธิสตรีซึ่งต่อสู้อย่างยากลำบากกว่าจะได้มา และใช้ช่องทางของตัวเองส่งเสริมการแปลงเพศในผู้เยาว์ ควรเก็บคำขอโทษไปให้กับกลุ่ม detransitioner ที่จิตใจบอบช้ำอย่างหนักและผู้หญิงเปราะบางที่ต้องการ single sex space ดีกว่านะ”
แดเนียล แรดคลิฟท์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Tony Award ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Atlantic ว่า เขาไม่ได้พูดกับ เจ.เค.โรว์ลิงมาหลายปีแล้ว และเขารู้สึกเสียใจมากที่นักเขียนดังยังกล่าวพาดพิงและต่อต้านกลุ่มคนข้ามเพศไม่หยุด
“นั่นทำให้ผมเศร้ามากจริงๆ นะ เพราะพอผมมองไปที่คนเหล่านั้น คนผมได้เคยพบเจอ หนังสือและโลกที่เธอสร้างนั่นล่ะทำให้ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง”
“สำหรับโจ แน่นอน แฮร์รี่ พอตเตอร์ จะไม่เกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีเธอ เช่นเดียวกัน ชีวิตของผมคงไม่มาอยู่ตรงนี้ถ้าไม่มีเธอคนนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องเป็นหนี้ทางความเชื่อกับใครบางคนไปตลอดชีวิตด้วยซะหน่อย ผมจะสนับสนุนสิทธิของกลุ่ม LGBTQ ต่อไป และจะไม่ให้ความเห็นเรื่องนี้อีก”
เจ.เค.โรว์ลิง ตอบคำถามเพิ่มเติม
Angie Jones : ฉันรังเกียจพวกคนดังที่เอาแต่ปิดปากเงียบ ปล่อยให้พื้นที่และกีฬาของผู้หญิงถูกลบเลือน เด็กถูกคุกคามและล่อลวงทางเพศ กลุ่มรักร่วมเพศถูกตราหน้าว่าเป็นปิศาจ ขณะที่ฉันและอีกหลายๆ คนกลายเป็นเหยื่อของวัฒนธรรมเพศสภาพนี้
J.K. Rowling : คนดังหลายคนมีเหตุผลส่วนตัวจริงๆ เลยออกมาพูดไม่ได้ แต่คนที่ฉันไม่ให้อภัยจริงๆ คือ พวกที่ทำตัวเป็นหัวขบวนให้กับองค์กรที่ผลักดันการใช้ยายับยั้งการเจริญพันธุ์และการผ่าตัดให้กับกลุ่มเปราะบาง แม้กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะส่งสัญญาณเตือนมานานแล้วก็ตาม
Kelsey : ฉันดีใจที่คุณประกาศชัดเจนว่าคุณจะไม่ยกโทษให้พวกเขาทั้งคู่นะ โจ เพราะพวกเขาไม่สมควรได้จริงๆ
J.K. Rowling : แต่ฉันไม่เชื่อว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณกับใครเป็นการส่วนตัวนะ และที่มีประเด็นไม่ใช่เพราะพวกเขาโจมตีความเห็นของฉัน แต่เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกทำต่างหาก : เลือกที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มที่ผลักดันเรื่องอื้อฉาวทางการแพทย์ เลือกที่เชื่อสโลแกนแนวคิดมากกว่าหลักฐานที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
Joshua Walker : คุณว่าพวกเขาทำเพราะเงินรึเปล่า
J.K. Rowling : ฉันคิดว่าหลายคนพูดเพราะเชื่อว่าตนเองได้เลือกอยู่ฝั่งที่ถูกต้องแล้ว ตัวแทนหรือต้นสังกัดของพวกเขาอาจแนะนำให้พวกเขาทำแบบนั้นก็เป็นได้ล่ะมั้ง แต่ว่านะ ส่งเสริมการใช้ยายับยั้งการเจริญพันธุ์กับให้ตัดอวัยวะที่สมบูรณ์ทิ้งไปไม่ใช่ทางเลือกที่สงบสุขของชีวิตแน่นอน
เจ.เค.โรว์ลิง รู้การตอบโต้ของแดเนียล แรดคลิฟท์เมื่อวันที่ 30 เมษายน แน่นอน เธอจึงตอบโต้กลับมาแบบนี้ แม้จะไม่ได้เป็นหัวทวิตก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ผมนั่งคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ใจหนึ่งก็ดีใจ ที่ได้รู้เสียทีว่าป้าโจคิดยังไงกับพวกเขาที่เคยออกมาให้ความเห็นในเชิงต่อว่าและประณามว่าป้าเกลียดคนข้ามเพศตั้งแต่ช่วงปี 2020 เป็นต้นมา โดยเฉพาะแดเนียลที่หาโอกาสแซะป้าโจทุกครั้งที่มีโอกาส (ผมนับได้ก็เกือบ 3 ครั้ง) ขณะที่คนอื่นๆ เลือกจะออกมาพูดแค่ครั้งเดียวและเงียบไป
เรื่องการให้ความเห็นของพวกเขา มันไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือห้ามทำ เพราะทุกคนมีสิทธิออกความเห็นของตัวเอง การที่พวกเขาทำแบบนี้ไม่ใช่การอกตัญญูหรือทรยศป้าโจแน่นอน ป้าโจเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องบุญคุณอะไรนี้เช่นกัน (ยืนยันได้จากคำตอบของป้าในข้างต้น)
แดนกับเอ็มม่า เป็นกระบอกเสียงและให้การสนับสนุนองค์กร-หน่วยงานที่ ผลักดันให้เยาวชนเข้าสู่กระบวนการแปลงเพศ ซึ่งมีคำเตือนมานานแล้วว่าควรไตร่ตรองให้ดีก่อนจะออกหน้าสนับสนุน ทั้งการออกมาพูด (กรณีของแดน) และบริจาคเงิน (กรณีของเอ็มม่า) สุดท้ายแล้วเป็นยังไงล่ะ ข่าวที่ออกมาเมื่อวานสะท้อนชัดมากว่าองค์กรและกลุ่มคนเหล่านี้ สมคบคิดกันและสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ทิ้งไว้ให้กับเด็กนับพันคน
เด็กถูกหลอก/ทำให้เข้าใจผิด ว่าสภาวะความสับสนทางเพศที่พวกเขาเผชิญอยู่นี้แก้ไขได้โดยการแปลงเพศ ไหนจะการใช้ยาอันตรายอย่าง puberty blocker จ่ายให้เด็กซึ่งผลวิจัยเพิ่งออกมาเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่ายาทำให้เซลล์ในอัณฑะกับรังไข่เสียหายอย่างซ่อมแซมไม่ได้ด้วย
เรื่องนี้ต่างหากที่ใหญ่และซิเรียสกว่ามาก
ป้าโจถึงได้ฟาดออกมาไงว่า "เก็บคำขอโทษของพวกคุณ ไว้ให้เด็กเหล่านี้เถอะ"
แต่อีกมุมหนึ่ง..
ผมก็รู้สึกเสียดายและใจหายเหมือนกันที่วันนี้ต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างป้าโจกับ 2 คนนี้ได้ปิดประตูลงไปแล้วจริงๆ
ฝั่งผมซึ่งสนับสนุนป้าโจ หรือ ฝั่งตรงข้ามผม ที่สนับสนุนนักแสดง(และยังด่าป้าโจว่าเหยียดเพศอย่างไม่หยุด) เราต่างเห็นตรงกันแล้วในวันนี้ว่า ความขัดแย้งทางความคิดนี้
...ร้าวลึกและยากจะประสานคืน...
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifa