ผมเริ่มแชร์ดราม่าในประเด็นเรื่อง sex และ gender ที่กลับมาเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์อีกครั้งเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เกม Hogwarts Legacy กำลังวางขาย คนบางกลุ่มบนโลกออนไลน์พยายามรณรงค์ให้คว่ำบาตรเกมนี้โดยการชูข้อเรียกร้องว่า "หากคุณซื้อเกมนี้ คุณกำลังส่งเสริมการฆ่ากลุ่มคนข้ามเพศ (transgender)" เพราะสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่มาจากจักรวาลโลกเวทมนตร์ มี เจ.เค.โรว์ลิง เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ซึ่งแสดงความเกลียดชังต่อกลุ่มคนข้ามเพศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020
สำหรับใครที่ไม่ทราบที่มาที่ไปตั้งแต่แรก ผมจะเล่าสรุปให้คุณฟังอย่างรวบยอดละกัน
เดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 เจ.เค.โรว์ลิง ได้ออกมาทวิตสนับสนุนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกยกเลิกสัญญาจ้างเพราะเธอมีจุดยืนว่า "มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนเพศได้" เธอถูกกลุ่ม trans activists ล่าแม่มด ยัดข้อหาว่าเธอเป็นพวกเหยียดคนข้ามเพศ (transphobia)
เจ.เค.โรว์ลิง ผู้ซึ่งติดตามการเคลื่อนไหวเรื่องนี้มานาน ได้ตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องออกมาพูดอะไรบ้าง
และนี่คือทวิตของเธอ...
แต่งตัวอย่างไรก็ได้ตามที่คุณชอบ จะเรียกตัวเองว่าอะไรก็ได้ตามที่ชอบ จะหลับนอนกับใครคนไหนก็ได้แล้วแต่คุณ ใช้ชีวิตของคุณให้ดีที่สุดในความสงบและความปลอดภัย
แต่การบังคับให้ผู้หญิงต้องโดนไล่ออกจากงานเพราะพวกเธอเชื่อว่าเพศกำเนิดคือของจริงเนี่ยนะ ?
#ฉันอยู่ข้างมายา #นี่ไม่ใช่การซ้อม
การทวิตของ เจ.เค.โรว์ลิงในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสพายุแห่งความโกรธเคืองพัดถล่มไปหาเธอ เธอถูกกล่าวหาว่าใช้คำพูดสร้างความเกลียดชัง เหยียดคนข้ามเพศ และคำที่คลาสสิกที่สุดที่กลุ่ม trans activists ใช้เรียกเฟมินิสต์คนใดก็ตามที่ออกมาพูดเรื่องนี้อย่างคำว่า TERF (Trans-Exclusionary Radical Feminist : กลุ่มเฟมินิสต์หัวรุนแรงที่กีดกันคนข้ามเพศ) ถูกนำมาแปะอยู่บนหัวของ เจ.เค.โรว์ลิงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ก่อนที่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 ช่วงที่โควิดกำลังแพร่ระบาดหนักและทุกคนถูกบังคับให้อยู่กับบ้าน เจ.เค.โรว์ลิงได้กลับมาทวิตในประเด็นนี้อีกครั้ง
"ผู้มีประจำเดือน" เหรอ ฉันแน่ใจว่ามีคำเรียกคนเหล่านั้นได้ดีกว่านี้นะ มีใครพอจะช่วยฉันนึกออกบ้างไหม
(แล้วเธอก็เลือกใช้คำแสลง เพื่อเป็นการเหน็บแนมว่า ทำไมไม่ใช้คำว่าผู้หญิง [Women] ออกมาโดยตรง)
Wumben? Wimpund? Woomud?
“ถ้าเพศ(กำเนิด)ไม่มีอยู่จริง งั้นก็ไม่มีคำว่ารักเพศเดียวกัน ถ้าเพศไม่มีจริง ตัวตนของผู้หญิงทั้งโลกก็จะถูกลบออกไปด้วย ฉันรักคนข้ามเพศนะ แต่การลบแนวคิดที่ว่าเพศกำเนิดไม่มีอยู่จริงก็จะทำให้คุณค่าในชีวิตของใครหลายๆ คนต้องถูกลืมไปด้วย มันไม่ใช่ความเกลียดชังนะ มันคือการพูดความจริง ”
ความคิดที่ว่าผู้หญิงแบบฉัน - ซึ่งเห็นใจคนข้ามเพศมาหลายสิบปี รู้สึกเข้าอกเข้าใจเพราะพวกเธออ่อนไหวเช่นเดียวกันกับผู้หญิง เช่น เรื่องความรุนแรงจากผู้ชาย - กลับถูกมองว่าเกลียดคนข้ามเพศเพียงเพราะพวกเราคิดว่าเพศกำเนิดมีจริงและมีผลกระทบตามมา - เป็นเรื่องไร้สาะ
ฉันเคารพสิทธิของคนข้ามเพศทุกอย่าง พวกเขาที่มีสิทธิจะใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายตามที่ต้องการ ฉันจะร่วมเดินไปกับพวกคุณ หากเผชิญกับการแบ่งแยกหรือถูกเลือกปฏิบัติเพราะเป็นคนข้ามเพศ ควบคู่ไปกับชีวิตฉัน ที่เติบโตมาในฐานะผู้หญิง และฉันไม่เชื่อว่านี่เป็นความเกลียดชังนะ
ทวิตครั้งนี้ของ เจ.เค.โรว์ลิง เป็นเหมือนกับการทิ้งระเบิด(นิวเคลียร์) ลงบนโลกออนไลน์ สื่อทุกแขนงพร้อมใจกันพาดหัวข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า เจ.เค.โรว์ลิง เป็นพวกเหยียดคนข้ามเพศ (transphobia) ตามมาด้วยกลุ่มนักแสดงหลักในแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้ง 3 คน (แดเนียล, รูเพิร์ธ, เอ็มม่า) ที่ออกมาประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับความเห็นของเธอ
กลุ่มแฟนไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์ พร้อมใจประกาศคว่ำบาตรเจ.เค. รวมทั้งแฟนไซต์ในประเทศไทยด้วย พวกเขาลบหรือเบลอชื่อ เจ.เค.โรว์ลิง ออกจากเว็บไซต์ เลี่ยงที่จะพูดถึงแฮร์รี่เพียงอย่างเดียว การคว่ำบาตรของแฟนไซต์สำหรับผมถือเป็นการปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ.เค.โรว์ลิงกับสาธารณะชน และไม่มีแฟนไซต์ที่ไหนคิดจะหยิบประเด็นที่เจ.เค.ออกมาเคลื่อนไหวเอามาพูดคุย ถกเถียงกัน
ผมไม่อยากบอกด้วยว่าหลายกลุ่มพร้อมใจกันส่งต่อข่าวปลอม ที่ล้วนแต่เพิ่มความเกลียดชังและทำให้เจ.เค.โรว์ลิงถูกโจมตีจากสาธารณะมากขึ้น
เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ผมอึดอัดกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมาก ข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายทั่วสื่อออนไลน์ ล้วนพยายามชักนำผมให้เชื่อว่า เจ.เค.โรว์ลิงเหยียดคนข้ามเพศ แต่ขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกทึ่งและไม่เข้าใจ ที่เห็นแฟนไซต์ เพจและบ้านพอตเตอร์เกือบทั้งหมด ต่างแสดงออกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีแม้แต่เพจเดียวที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้เลย
ผมเองก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดเหมือนกัน ว่าทำไมตนเองถึงไม่ออกโรงร่วมประนาม เจ.เค.โรว์ลิง เหมือนกับแฟนไซต์อื่นๆ อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือจิตสำนึกเล็กๆ บางอย่างในตัวที่มันเตือนผมว่า "อย่าเพิ่งแสดงความเห็นอะไรออกมา" เพราะเมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมเคยผ่านสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ซึ่งผมเรียกมันว่า “กำลังบีบให้เราต้องเลือกข้าง” การรับข่าวสารข้อมูลที่พยายามชี้นำให้เราเชื่อ โดยเฉพาะเมื่อคนรอบตัวเราต่างกำลังเชื่อไปในทางเดียวกัน มันทำให้ผมยิ่งหนักแน่นกับตัวเองว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบออกตัว ผมเองก็เคยเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนเพราะใช้อารมณ์เป็นตัวนำ การตัดสินเรื่องราวอะไรก็ตาม โดยไม่ได้มีข้อมูลที่แท้จริงจากอีกฝั่ง การหลงเชื่อข่าวตามที่สื่อพากันนำเสนอโดยไม่ใช้วิจารณญาณของตัวเองในการเสพข่าว เพราะหลายครั้งที่สื่อเองก็พยายามนำเสนอข่าวเพื่อชักจูงความคิดของเราและเมื่อถูกกล่อมให้เชื่อว่าสิ่งนี้คือความถูกต้อง ส่วนสิ่งตรงข้ามคือความผิดที่ชั่วร้าย มนุษย์เรามักจะแสดงความเกลียดชังออกมาโดยไม่รู้ตัว
นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมในช่วงแรกที่ เจ.เค.โรว์ลิง กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก ผมเลยเลือกที่จะ “เงียบ” ไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา
สำหรับผม เจ.เค.โรว์ลิง ไม่ใช่นักเขียนหรือผู้หญิงธรรมดาๆ ผมชื่นชมและรักเธอมาก แฮร์รี่ พอตเตอร์สำหรับผมก็เหมือนเพื่อนคู่ใจ ที่เปิดอ่านซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แทบจะจำได้ว่าแต่ละเล่ม แต่ละบท คืออะไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ชื่อคาถา สัตว์วิเศษ พืชวิเศษ สถานที่ ตัวละคร ต่างวิ่งอยู่ในความทรงจำของผมอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เป็นความทรงจำสมัยเด็ก ที่อ่านแล้วเหมือนได้หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ไปพักใจชั่วครู่
เมื่อผมโตขึ้น และหยิบแฮร์รี่ พอตเตอร์มาอ่านอีกครั้ง ความบันเทิงยังอยู่คงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ผมได้กลับเพิ่มขึ้นมา คือ แนวคิด หลักปรัชญาที่ เจ.เค.โรว์ลิง แฝงลงไปในหนังสืออย่างแนบเนียน การช่วยเหลือกลุ่มคนที่เปราะบาง การลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรม การมองโลกแบบกลางๆ ไม่ขาวหรือดำ การไม่ด่วนตัดสินคนจากอคติตรงหน้า
และโดยเฉพาะปรัชญาเรื่องเกี่ยวกับความตาย – ผมซึ่งเสียคุณพ่อไปอย่างกระทันหันเมื่อปลายปี ค.ศ. 2021 ความตายครั้งนั้น กลับยิ่งทำให้ผมผูกพันธ์กับแฮร์รี่ พอตเตอร์มากขึ้นไปอีก ผมได้เข้าใจอยากลึกซึ้งว่าความตายที่อยู่ในหนังสือมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกอย่างไร
ดังนั้น ผมจึงบอกกับตัวเองว่า “เดี๋ยวดราม่านี้ มันก็น่าจะผ่านไป”
ซึ่งกลายเป็นว่าผมคิดผิด...
ดราม่านี้ไม่ใช่สายลมที่พัดผ่าน แต่มันคือพายุลูกใหญ่ที่โหมพัดกระหน่ำและทรงพลังอย่างไม่หยุด ผ่านปีแรกไปแล้วพายุก็ยังไม่สงบ คนที่เกลียด เจ.เค.โรว์ลิง ก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ - ข่าวต่างๆ ออกตามมาไม่หยุด เช่น เจ.เค.โรว์ลิง เพิ่งบริจาคเงินให้องค์กรที่สนับสนุนการทำร้ายคนข้ามเพศ เจ.เค.โรว์ลิงกด like ทวิตให้กับคนที่ต่อต้านคนข้ามเพศ เจ.เค.โรว์ลิงใช้ความพรีวิลเลจปิดปากคนที่ออกมาตั้งคำถาม โรว์ลิงแบบนั้น โรว์ลิงแบบนี้ ฯลฯ
ผมน่าจะคิดผิดแล้วล่ะ ที่บอกตัวเองว่า “ให้อยู่เงียบๆ”
สุดท้ายความกลัวที่มันรั้งผมไว้ก็ค่อยๆ หมดความชอบธรรม ผมตัดสินใจในที่สุดว่า... "เอาวะ อย่างน้อยถ้ายัยป้าเป็น transphobia จริงๆ กูก็แค่ทำเหมือนเพจแฮร์รี่อื่นๆ - เลี่ยงที่จะพูดถึงนางและเสิร์ฟ contents แฮร์รี่กับสัตว์มหัศจรรย์ต่อไปก็พอ"
ผมเลยตัดสินกระโจนเข้ามาสู่ดราม่านี้ - เริ่มจากอ่านข่าวที่สื่อนำเสนอ อ่านทวิตเตอร์ของ เจ.เค.โรว์ลิง บทความที่เธอโพสต์ลงเว็บไซต์ส่วนตัว ข่าวต่างๆ ที่บอกว่า เธอบริจาคเงินให้องค์กรที่สนับสนุนการทำร้ายคนข้ามเพศ เธอกด like ทวิตให้กับคนที่ต่อต้านคนข้ามเพศ ไปจนถึงบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง – แน่นอนว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดและจบในวันเดียว ผมค่อยๆ ทำความเข้าใจมันอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ ค่อยๆ เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ...
แล้วความจริงก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น....
เจ.เค.โรว์ลิงนอกจากจะ ไม่ใช่ transphobia อย่างที่หลายคนพยายามกล่าวหา
แต่เธอยัง ถูกล่าแม่มด อย่างหนักด้วย
ประเด็นที่ เจ.เค.โรว์ลิง ออกมาพูด มองเผินๆ อาจเหมือนการไม่ยอมรับตัวตนของกลุ่มคนข้ามเพศ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมากระแสสิทธิกลุ่ม LGBT เริ่มขยับขยายจากกลุ่มรักร่วมเพศมาสู่กลุ่มคนข้ามเพศ มีการใช้แนวคิดที่ทยอยเกิดขึ้นใหม่บนโลกออนไลน์โดยเฉพาะคำว่า "อัตลักษณ์" ที่ดูเหมือนจะถูกหยิบไปใช้กับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นรสนิยม แฟชั่น เชื้อชาติ แน่นอนว่ารวมทั้งอัตลักษณ์ทางเพศด้วย ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราปล่อยให้แนวคิดเหล่านี้ถูกนำมาเผยแพร่และนำไปใช้ โดยเราอาจมองแค่ว่ามันคือการรณรงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับความหลากหลายทางเพศ
ซึ่งผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซนต์ มนุษย์เราไม่ว่าจะมีรสนิยมและอัตลักษณ์ทางเพศแบบใด ไม่ควรถูกปิดกั้นหรือจำกัดสิทธิ เสรีภาพ โดยเฉพาะประเด็นการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน (same-sex marriage) ผมคือหนึ่งคนที่สนับสนุนกฏหมายสมรสเท่าเทียมให้ประกาศใช้เร็วๆ ในบ้านเรา
แต่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน.. และเพิ่งได้พบหลังจากได้ลองค้นหาอย่างจริงจังว่าทำไม เจ.เค.โรว์ลิง ถึงออกมาพูดเรื่องนี้จนโดนล่าแม่มดอย่างยับเยินในช่วงที่ผ่านมา นั่นคือ แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศมันได้กลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองไปแล้วในประเทศฝั่งตะวันตก และแนวคิดบางอย่างที่ผมเคยเข้าใจเกี่ยวกับคนข้ามเพศ มันได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
สำหรับผม คนข้ามเพศ (transgender) หมายถึง คนที่ต้องผ่านกระบวนการแปลงเพศแล้วโดยสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งแปลว่าพวกเขาต้องได้รับการวินิจฉัยทางการแพทย์มาแล้วว่าไม่สามารถหลุดจากภาวะ gender dysphoria ได้ จึงต้องใช้การแปลงเพศเป็นทางรักษา และการแปลงเพศนั้นไม่ได้แปลว่าผ่าตัดอวัยวะเพศแล้วจบ แต่คนเหล่านี้ต้องมีการบำบัดด้วยฮอร์โมนไปจนถึงกระบวนการอื่นๆ ตลอดชีวิต และก็เป็นความจริงเช่นกันว่าพวกเขาเปลี่ยนได้แค่เพศสภาพภายนอก แต่เพศโดยกำเนิดที่ถูกกำหนดด้วยโครโมโซมยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
แต่อุดมการณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแทบทุกครั้ง คือ "ทุกคนมีสิทธิระบุเพศสภาพเป็นเพศอะไรก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการแปลงเพศก่อน และอัตลักษณ์ทางเพศเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่สมควรต้องถูกตั้งคำถามหรือสั่งให้เปิดเผยกับคนอื่น"
แค่นี้ก็ทำให้เริ่มรู้สึกทะแม่งๆ ชอบกลแล้ว.. พอยิ่งไปอ่านเจอข่าวว่า อัตราการเกิดคดีคุกคามทางเพศของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากมีการใช้อุดมการณ์นี้ ยิ่งทำให้ผมตกใจ แต่ก็ยังไม่เท่ากับข่าวที่มีการอนุญาตให้นักกีฬาชายลงไปแข่งกีฬากับผู้หญิงได้ หากนักกีฬาชายคนนั้นระบุเพศสภาพตนเองว่าเป็นผู้หญิง แน่นอนว่าผลการแข่งขัน ไอ้เพื่อนเกลอนั่นได้เหรียญทองในทุกแมตช์
ผมยอมรับเลยว่าทึ่งและขมวดคิ้วกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้มากๆ แต่พอมองย้อนไปดูต้นสายปลายเหตุทั้งหมด มันก็เป็นอย่างที่ เจ.เค.โรว์ลิงพูดจริงๆ ปัญหาตอนนี้คือ เราไม่สามารถแยกหญิงข้ามเพศจริงๆ ออกจากพวกชายแท้ฉวยโอกาสได้ เพราะอุดมการณ์ที่ดูพยายามจะสร้างภาพว่าพิทักษ์ความเป็นส่วนตัวและสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แท้จริงแล้ว มันคือการสั่งให้ทุกคนปิดปาก ห้ามตั้งคำถาม และใครก็ตามที่ฝ่าฝืนจะต้องโดนล่าแม่มด
แม้ในบ้านเรามันไม่ไปถึงขั้นนั้น แต่ในอังกฤษกลุ่มนักกิจกรรมที่ขับเคลื่อนอุดมการณ์เหล่านี้ ถึงขั้นไปกดดันบริษัท องค์กร หน่วยงาน ให้ไล่คนออกจากงานได้เลยนะครับ ถ้าหากพวกเขาไล่ตามเจอว่าคุณทำงานอยู่ที่ไหน โดยยัดข้อหา "สร้างความเกลียดชัง" หรือ "เหยียดเพศ" ให้กับคุณ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากในโลกตะวันตก
ผมเลยรวบรวมข้อมูลและทำเนื้อหาเพื่อจะลงในเพจ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าช่วงไหนจะเหมาะสม
จนกระทั่งเกิดดราม่าเกมส์ Hogwarts Legacy ระหว่างกลุ่ม woke กับสตรีมเมอร์ท่านหนึ่งและดันประจวบเหมาะพอดี ในช่วงเดียวกัน ที่ Megan Phelps-Roper โปรดิวเซอร์แห่ง The Free Press ประกาศว่าเตรียม on-air บทสัมภาษณ์ของเจ.เค.โรว์ลิง ในชื่อเรื่อง The Witch Trials of J.K. Rowling
นั่นเองที่ทำให้ผมเห็นว่า “เออ - มันถึงเวลาแล้วล่ะ”
และก็เป็นดั่งที่คาดเช่นกัน ผมโดนโจมตีทันที ดังที่ท่านอาจจะเห็นในโพสต์ - ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ ผมไม่กล้าลงเนื้อหาเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิง เพราะผมกลัวครับ กลัวว่าเพจจะโดนเอาไปแขวนในทวิตเตอร์ แล้วจะต้องมารับมือกับพวก woke ที่น่าจะเข้ามารุมยำเพจไม่มีชิ้นดี กลัวที่จะเสียยอดผู้ติดตาม ฯลฯ
แต่ผมก็คิดอีกแง่หนึ่งว่า พวกมันทำได้ก็แค่เอาไปแขวนแล้วรุมด่านี่นา งั้นก็ให้มันด่าไปเถอะ แต่ใครลามปามมากๆ ก็เตรียมร่อนหมายศาลไปละกัน
ถ้าคนติดตามเพจน้อยลงล่ะ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอดตายหรอก ผมมีอาชีพการงานที่มั่นคงทำอยู่แล้วในชีวิตจริง สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นตัวเลี้ยงปากท้อง และพอตเตอร์ไดอารี่ที่ผมทำขึ้นมา ก็เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวล้วนๆ
มันมีอะไรจะต้องเสียไปมากกว่านี้อีกล่ะ จริงไหม
ผมลงเนื้อหาเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิงค่อนข้างถี่มากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ และผมจะยังคงลงต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ความเกลียดชังและความเข้าใจผิดนี้ยังไม่จางหายไป แต่อย่างน้อยใน 2-3 วันมานี้ ผมถือว่าภารกิจที่ผมตั้งใจไว้สำเร็จแล้วในที่สุด – แม้จะยังแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับบางคนไม่ได้ แต่ได้เห็นว่ามีคนเข้าใจ เจ.เค.โรว์ลิง มากขึ้นและตระหนักว่าสิ่งที่เธอกำลังเรียกร้องอยู่คืออะไรกันแน่ เท่านี้ผมก็พอใจแล้วครับ แน่นอนว่าปัญหาบางอย่างที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นี้อาจยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน แต่การแลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นกันอย่างใจเย็นโดยไม่ใช้อารมณ์ ผมเชื่อว่าจะมีทางออกปรากฏขึ้นตรงหน้าเองแน่นอน
สุดท้ายนี้ผมอยากขอบคุณทุกคน ทั้งคนที่ติดตามเพจและคนที่ไม่ได้ติดตาม โดยเฉพาะลูกเพจหลายๆ ท่านที่คอย support ผมมาตลอด บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่ได้พวกคุณผมคงถอดใจไปกลางทางเหมือนกัน
อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้รู้ว่าการใช้ตรรกะและเหตุผลควรอยู่เหนืออารมณ์และความรู้สึก เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ด้วยรักและศรัทธา