โจแอนน์ โรว์ลิง เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 1965 ณ โรงพยาบาลเยท ใกล้กับเมืองบริสโตว์ เธอเติบโตขึ้นมาในเมืองกลอสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ และย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองเชปสโตว์และเกวนท์ ในแคว้นเวลส์ตอนใต้
พ่อของเธอ ปีเตอร์ โรว์ลิง เป็นวิศวกรเครื่องบินที่โรงงานโรล์ลอยซ์ในเมืองบริสโตว์ และแม่ของเธอ แอนน์ เป็นเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการเคมีที่โรงเรียนมัธยมไวย์เดียน เธอมีน้องสาวหนึ่งคนซึ่งเกิดห่างจากเธอสองปี (ไดแอนน์)
โจเติบโตขึ้นมาท่ามกลาง "กองหนังสือ" เธอบอกว่าตนเองเป็น "หนอนหนังสือ" ตั้งแต่เด็ก พ่อและแม่นอกจากจะไม่ห้ามโจให้อ่านหนังสือเล่มใดแล้ว พวกเขายังชอบอ่านหนังสือต่างๆ ให้เธอฟัง โดยเฉพาะแม่ ซึ่งทำให้เธอรู้จักตัวละครสัตว์น่ารักจากหนังสือของ Richard Scarry และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โจเริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ "คุณกระต่าย" เป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้ 6 ขวบ และเมื่ออายุ 11 ปี เธอได้เขียนนิยายเล่มแรก ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพชรต้องสาป 7 อัน - โจบรรยายถึงตัวเองในช่วงเวลานั้นว่า เด็กอ้วนเตี้ย ใส่แว่นหนาเตอะ หน้าเต็มไปด้วยกระ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความฝันไปวันๆ
วัยรุ่น
โจเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมไวย์เดน ในเมืองเซดเบอร์รี่ เมื่ออายุได้ 11 ปี ช่วงมัธยมของโจมีทั้งความทรงจำที่ดีและแย่ปะปนกันไป แต่โดยรวมเธอยอมรับในภายหลังว่า เวย์เดนไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าอภิรมย์สำหรับเธอเท่าไรนัก แม้จะมีครูหลายคนประทับใจในพรสวรรค์ด้านการเขียนและจินตนาการของเธอ ในช่วงเวลาดังกล่าวโจได้อ่านหนังสือเรื่อง Hons and Rebels ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของ Jessica Mitford นักเขียนและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ซึ่งเธอได้กลายเป็นวีรสตรีต้นแบบสำหรับโจในเวลาต่อมา - แอนน์ยังคงทำงานที่ไวย์เดนในช่วงที่โจและไดแอนน์เข้าเรียนที่นั่น แต่เมื่อโจอายุได้ 15 ปี แอนน์ โรว์ลิงถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (multiple sclerosis) อาการของเธอแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องลาออกจากงานผู้ช่วยแลปที่เวย์เดน โจบรรยายถึงช่วงเวลานั้นว่า บ้านมีแต่ความตึงเครียดตั้งแต่แม่เธอล้มป่วย
เธอไม่มีความสุขกับช่วงวัยรุ่น โจเผยในปี 2020 ว่า พ่อเคยบอกว่าอยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาว เธอประสบกับภาวะ OCD (โรคย้ำคิดย้ำทำ) ตั้งแต่ตอนนั้น เธอเริ่มสูบบุหรี่ ฟังอัลเทอร์เนทีฟร็อก และเริ่มแต่งตัวเลียนแบบ Siouxsie Sioux - ในช่วงนั้นโจได้รู้จักกับ ฌอน แฮร์ริส ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอและเจ้าของรถฟอร์ด แองเกลียสีฟ้าอ่อน ที่คอยช่วยเธอให้หลบหนีจากบ้านอันแสนตึงเครียดได้ชั่วคราว แต่เพราะความตึงเครียดจากที่บ้านนั้นเอง โจจึงเริ่มหันไปทุ่มเทให้กับการเรียนมากขึ้น - ครูสอนภาษาอังกฤษสมัยมัธยมต้นคนหนึ่งกล่าวถึงโจในภายหลังว่า "เธอเป็นเด็กคนหนึ่งที่เก่งภาษาอังกฤษมาก" โจได้คะแนนภาษาอังกฤษในระดับ A เธอยังเรียนภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันเพิ่มเติมด้วย - โจได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้านักเรียนหญิงและเคยยื่นใบสมัครเข้าเรียนที่ Oxford แต่ถูกปฏิเสธ
หลังจบมัธยม โจเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ สาขาวรรณกรรมคลาสสิกและภาษาฝรั่งเศส แม้พ่อของเธออยากให้เรียนสายวิชาชีพมากกว่าก็ตาม โจกล่าวถึงช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยว่า ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดไว้แต่แรก แต่เธอก็มีความสุขที่ได้พบปะกับผู้คนที่มีแนวคิดอะไรคล้ายๆ กัน เธอไม่ได้เป็นดาวเด่น เป็นนักศึกษาธรรมดาที่สนใจการเข้าสังคมมากกว่าจะทุ่มเทให้กับความรู้ทางวิชาการเพียงอย่างเดียว โจไม่ค่อยทำงานนอกเวลามากนัก แต่เลือกที่จะอ่านวรรณกรรมคลาสสิกในห้องสมุดมากกว่า โดยเฉพาะงานของ Charles Dickens และ J.R.R. Tolkien ที่เธอชอบมากเป็นพิเศษ
แรงบันดาลใจ
หลังจบการศึกษาจากเอ็กเซเตอร์ โจย้ายไปอยู่แถวแคลปแฮมจังก์ชัน กรุงลอนดอนกับเพื่อน และเริ่มทำงานหลายอย่าง รวมทั้งอาชีพผู้ช่วยวิจัยขององค์กรแอมเนสตี้ เธอกล่าวว่าช่วงเวลาเล็กๆ ที่ได้ทำงานนั้น เธอต้องอ่านจดหมายนับพันฉบับที่บอกเล่าเรื่องราวว่าผู้หญิงในอีกซีกโลกหนึ่งกำลังถูกคุกคามและโดนกดทับจากระบอบเผด็จการและสังคมปิตาธิปไตย ประสบการณ์จากที่นั่นเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองชีวิตของเธอไปตลอดกาล - ในช่วงเวลาที่แอมเนสตี้นั้น โจเริ่มเขียนนิยายเป็นงานอดิเรก (แต่ผลงานเหล่านั้นไม่เคยถูกเผยแพร่)
ปี 1990 โจอยู่ในช่วงวางแผนว่าจะย้ายไปอยู่กับแฟนหนุ่มที่เมืองแมนเชสเตอร์ วันหนึ่งในช่วงกลางปีขณะอยู่บนรถไฟซึ่งช้ากว่ากำหนดสี่ชั่วโมงจากแมนเชสเตอร์ไปลอนดอน ไอเดียเรื่องราวเกี่ยวกับ "เด็กชายคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อมดและกำลังจะไปเรียนโรงเรียนเวทมนตร์" ได้ผุดขึ้นมาในความคิดของโจ เธอไม่มีปากกา ดินสอหรืออะไรก็ตามที่พกติดตัวในตอนนั้น แต่โจก็ปล่อยให้จินตนาการของเธอทำงานต่อไปจนกระทั่งไปถึงแฟลตที่แคลปแฮมจังก์ชัน โจจึงเริ่มจดบันทึกไอเดียทั้งหมดลงในกระดาษ - เธอบรรยายถึงช่วงเวลานั้นว่า คืนนั้นเธอนอนไม่หลับ นอกจากปล่อยให้ไอเดียที่อยู่ในหัวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
พฤศจิกายนปีเดียวกัน โจก็ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ โดยเป็นพนักงานชั่วคราวให้กับหอการค้า ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ แต่ในเดือนต่อมา วันที่ 30 ธันวาคม 1990 แม่ของเธอ - แอนน์ โรว์ลิง ซึ่งป่วยมานานก็ได้เสียชีวิตลง - เกือบหกเดือนที่โจเริ่มเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ เธอไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้กับแม่ฟัง โจกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2007 ว่า เป็นเรื่องที่เธอเสียใจที่สุดในชีวิตจนถึงทุกวันนี้
การตายของแอนน์ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโจ เธออยู่ในภาวะเครียดอย่างรุนแรง จากนั้นไม่นานเธอเลิกกับแฟนหนุ่มและถูกมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เลิกจ้าง โจตัดสินใจว่าเธอไม่สามารถทนอยูที่อังกฤษได้อีกต่อไป เธอจึงย้ายไปอยู่ที่เมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส โจกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2022 ว่า "ฉันแค่อยากลืมมันไปเสียและคิดว่าการย้ายที่อยู่ใหม่จะช่วยทำให้ฉันดีขึ้นได้" - โจเริ่มอาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกันเธอก็ยังเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ต่อไปด้วยในยามว่าง
แต่งงานครั้งแรก
หลังจากย้ายไปอยู่โปรตุเกสได้ 6 เดือน โจพบรักกับนักข่าวท้องถิ่นชาวโปรตุเกส จอร์จ อารานเธส ทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันโดยเฉพาะเรื่องราวของ Jane Austen ที่ทำให้พวกเขารู้สึกดึงดูดเข้าหากัน ทุกอย่างดูไปได้สวยมาก แต่ลึกๆ แล้ว โจก็รู้ตัวดีว่าเธอยังไม่ปกติ แม้เธอจะพยายามบอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เธอรู้ตัวอยู่ลึกๆ ว่า ตนเองเพิ่งผ่านเรื่องราวและความสะเทือนใจครั้งใหญ่มา แต่เธอไม่กล้ายอมรับในตอนนั้นว่ากำลังเปราะบางและอ่อนไหวเป็นอย่างมาก ช่วงที่ออกเดทกับอารานเธสนั้นเอง โจก็ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
อารานเธสพยายามขอโจแต่งงาน แต่หลังจากนั้นไม่นานโจต้องพบกับการสูญเสียอีกครั้งเมื่อเธอแท้งลูก - เหตุการณ์นั้นสร้างบาดแผลและความสะเทือนใจให้กับโจเป็นอย่างมาก เธอตกอยู่ในสภาวะ "ไม่มั่นคงทางจิตใจอย่างรุนแรง"
แม้โจจะบอกกับตัวเองว่าต้องการเวลาสำหรับทำใจหรือให้ตัวเองได้โศกเศร้าบ้าง อารานเธสยังคงรบเร้าของเธอแต่งงานอย่างหนัก โจตอบตกลงและหลังจากแต่งงานไม่นานเธอก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างโจกับอารานเธสก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ โจกล่าวในการสัมภาษณ์เมื่อปี 2022 ว่า อารานเธสกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และชอบ "ควบคุม" เธอทุกอย่าง แม้กระทั่งกุญแจบ้านเขาก็ไม่อนุญาตให้เธอถือ หลังเลิกงานเขาจะตรวจค้นกระเป๋าของโจ ที่เลวร้ายที่สุดคือ อารานเธสเอาต้นฉบับสามบทแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นหลักประกันว่าโจจะไม่หนีไปจากเขา
โจกล่าวว่า เธอทุ่มเทสุดชีวิต เพื่อรักษาต้นฉบับนั้นเอาไว้ เมื่อลูกสาวคนแรกของเธอ เจสสิก้า ถือกำเนิดขึ้นในปี 1991 เธอตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าจะหนีกลับไปอังกฤษ แต่อารานเธสรู้ทันเสียก่อน ทั้งสองโต้เถียงและมีปากเสียงกัน เหตุการณ์ในคืนนั้นจบลงด้วยการใช้ความรุนแรง โจถูกเหวี่ยงออกมาจากบ้าน ใบหน้าและตัวฟกช้ำ เธอรีบไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในบ้านและนำตัวเจสสิก้าออกมา โจจองตั๋วเครื่องบินและกลับไปอังกฤษทันที
จุดตกต่ำ
โจกลับมาอังกฤษปี ค.ศ. 1993 ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว พร้อมกับลูกสาวหนึ่งคนและต้นฉบับแฮร์รี่ พอตเตอร์สามบทแรกในกระเป๋า เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ไร้บ้าน ไร้เงิน ช่วงแรกเธอได้รับการช่วยเหลือจากน้องสาวผู้ซึ่งยอมให้เธอเข้าไปอาศัยอยู่ด้วยที่บ้าน ในช่วงเวลานั้นโจยื่นเรื่องขอรับเงินสวัสดิการจากทางรัฐ เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงิน 69 ปอนด์ต่อสัปดาห์จากระบบประกันสังคม ก่อนจะย้ายออกมาหาที่อยู่ของตนเองหลังจากพักอยู่กับน้องสาวเพียง 2-3 สัปดาห์ โจยอมรับกับตนเองว่า เธอเพิ่งประสบกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ ยากจนมากในอังกฤษยุคใหม่ แทบจะเป็นคนไร้บ้าน แยกทางกับสามี และคิดอยากฆ่าตัวตาย โจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการให้กำเนิด ผู้คุมวิญญาณ ในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์
ผู้เขียนชีวประวัติของโจเคยตั้งคำถามกับเธอว่า ทำไมเธอเลือกที่จะติดต่อน้องสาวมากกว่าพ่อ โจกล่าวว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อนั้นตึงเครียดมานานแล้ว" โจเล่าในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ วีนฟรีย์ เมื่อปี 2012 ว่า "จากมุมของฉัน เรามีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกันตั้งแต่แม่ตาย ฉันพยายามทำให้เขาพอใจแต่พอถึงจุดหนึ่งฉันก็พบว่าทำแบบนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว" - ปีเตอร์แต่งงานใหม่กับเลขาส่วนตัว สองปีหลังจากแอนน์เสียชีวิต เขาย้ายไปอยู่กับเธอและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกสาวทั้งสองคนเริ่มห่างเหินกัน
ช่วงปี 1993 - 1996 เป็นช่วงที่โจบรรยายไว้ว่า "มืดมนที่สุด และไม่รู้ว่าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นอยู่ตรงไหน" แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เธอได้ปลดเปลื้องตัวเอง และทุ่มเทพลังให้กับงานเพียงชิ้นเดียวที่เธอมีอยู่ นั่นคือการเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกให้เสร็จ - ฌอน แฮร์ริส เพื่อนสนิทสมัยมัธยมให้เธอยืมเงินจำนวน 600 ปอนด์ เพื่อให้โจย้ายไปอยู่ในแฟลตแถวลีธ ซึ่งมีฮีตเตอร์และเครื่องทำน้ำอุ่น โจเขียนต้นฉบับแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกเสร็จที่นั่น - ในช่วงเวลา 4 ปีแห่งความมืดมนที่สุดในชีวิต โจยังคงได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ รอบตัว นอกจากฌอนแล้ว พี่เขยของเธอซึ่งเป็นหุ้นส่วนร้าน Nicolson's ร้านกาแฟในเอดินเบอระ อนุญาตให้โจนั่งเขียนต้นฉบับแฮร์รี่ในร้านพร้อมกาแฟร้อนๆ หนึ่งถ้วย ขณะที่เธอเลี้ยงเจสสิก้าไปด้วย ราวๆ ปี 1995 เพื่อนคนหนึ่งช่วยออกเงินให้โจได้เข้าฝึกในหลักสูตรอบรมครู โจสำเร็จหลักสูตรในช่วงกลางปี 1996
แฮร์รี่ พอตเตอร์
โจเขียนต้นฉบับแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์เสร็จในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1995 เธอใช้เวลาอีก 6 เดือนในการขัดเกลาให้สมบูรณ์ก่อนจะส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 โจเข้าร่วมงาน The Writers and Artists Year Book ซึ่งจัดขึ้นในเอดินเบอระ เพื่อพบปะกับตัวแทนสำนักพิมพ์ต่างๆ - เธอทำสำเนาสามบทแรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ติดตัวไปด้วยจำนวน 2 ฉบับ และใส่ในแฟ้มสีดำ เธอเล่าให้ฟังในภายหลังว่า "เธอมีต้นทุนที่จะทำสำเนาได้แค่สองฉบับเท่านั้น เธอซื้อแฟ้มมาใส่สำเนาเพราะรู้ว่าจะต้องโดนตีกลับมาแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นฉันก็อยากลองดู"
ตัวแทนรายแรกที่รับต้นฉบับไป ตอบปฏิเสธและไม่ได้ส่งแฟ้มต้นฉบับคืนมาให้เธอ (โจหัวเสียมาก ไม่ใช่เรื่องที่ต้นฉบับถูกปฏิเสธ แต่เป็นสำเนาต้นฉบับและแฟ้มที่เธอส่งไปนั้นมีมูลค่าถึง 5 ปอนด์) ตัวแทนอีกคนหนึ่งชื่อว่า ไบรโอนี่ เอฟเวนส์ เธอรู้สึกสนใจในสามบทแรกที่ได้รับจากโจ หลังจากให้นักอ่านอิสระลองรีวิวในเบื้องต้น ไบรโอนี่จึงขอสำเนาต้นฉบับทั้งหมดจากโจ เธอส่งมันให้นักอ่านอิสระก่อนจะส่งคำแนะนำให้โจเขียนแก้บางจุดเพิ่มเติม หลังจากแก้ไขต้นฉบับแล้วไบรโอนี่จึงจัดทำสำเนาต้นฉบับและส่งไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ กระบวนการต่างๆ นี้ดำเนินไปเกือบครึ่งปี แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์กว่า 12 แห่ง ระหว่างนั้นโจก็เตรียมเริ่มอาชีพครูที่ Leith Academy
เดือนตุลาคม ค.ศ. 1996 สำนักพิมพ์บลูมส์เบอรี่ ก็ตกลงทำสัญญาที่จะตีพิมพ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ โจได้รับเงินค่าลิขสิทธิ์ราวๆ 2,500 ปอนด์ และได้เงินอีก 1,500 ปอนด์ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ของสำนักพิมพ์ - หนังสือวางขายวันแรกในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1997 - โจได้รับคำแนะนำให้ใช้ชื่อที่เป็นกลางบนหน้าปกหนังสือ ตัวแทนของบลูมส์เบอรี่ให้เหตุผลว่าเพื่อกระตุ้นให้เด็กผู้ชายซื้ออ่าน และมันคงไม่น่าสนใจถ้าผู้แต่งเป็นผู้หญิง โจจึงนำชื่อแคทเธอลีนซึ่งเป็นชื่อของคุณย่ามาเป็นชื่อกลาง เป็น เจ.เค.โรว์ลิง (J.K. Rowling)
โจยังจำเหตุการณ์วันที่หนังสือวางขายได้เป็นอย่างดี ไม่มีงานเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ ไม่แม้แต่จะวางอยู่บนหน้ากระจกโชว์ของร้านหนังสือ มันถูกวางอยู่บนชั้นเงียบๆ ไม่มีใครสนใจ - โจเดินไปที่ร้านพร้อมกับลูกสาวและชี้ให้เจสสิก้าอ่านชื่อ แฮร์รี่ พอตเตอร์
หลังจากวางขายเพียงหนึ่งสัปดาห์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกกว่า 5 พันเล่มก็หมดเกลี้ยง จนบลูมส์เบอรี่ต้องรีบพิมพ์ครั้งที่สองทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น โจได้บรรยายไว้ว่า "เหนือการควบคุม" และ "เกินกว่าที่เธอคาดคิดมาก" - ช่วงปลายปี 1997 แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ ชนะรางวัล ได้แก่ Nestlé Smarties Book Prize , Booktrust องค์กรอิสระที่ส่งเสริมด้านหนังสือและการอ่าน และ British Book Awards ประจำปี - แล้วกระแสความนิยมก็พัดไปทั่วเกาะอังกฤษ
หนึ่งปีหลังจากนั้น สำนักพิมพ์สกอลาสติก (Scholastic) จากอเมริกา ได้ซื้อลิขสิทธิ์แฮร์รี่ พอตเตอร์ไป ด้วยวงเงินที่เสนอให้กับโจมากถึง 105,000 ดอลลาร์ โจเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า วินาทีที่ได้รับโทรศัพท์เธอแทบจะล้มทั้งยืนด้วยความดีใจ เธอรู้ตั้งแต่บัดนั้นว่าชีวิตเธอเริ่มจะดีขึ้นแล้ว - เงินค่าลิขสิทธิ์ที่ได้จากสกอลาสติกทำให้โจซื้อแฟลทในเอดินเบอระได้ - แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1998 แม้ยังไม่มีกระแสจากนักวิจารณ์ แต่เมื่อสิ้นปี แฮร์รี่ พอตเตอร์ ก็ติดอันดับนิยายขายดีประจำ The New York Times
อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับกระแสความนิยมของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้เพิ่มเติมที่นี่..
ครอบครัว
โจแต่งงานใหม่อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2001 กับนายแพทย์นีลล์ เมอเรย์ ปัจจุบันทั้งสองยังคงเป็นสามี-ภรรยากัน พวกเขามีลูกด้วยกัน 2 คน คือ เดวิค (ลูกชาย เกิดเมื่อปี 2003) และแม็คเคนซี (ลูกสาว เกิดเมื่อปี 2005) ลูกสาวคนแรกที่เกิดกับอดีตสามี (จอร์จ อารานเธส) ยังคงอยู่ที่อังกฤษกับโจ ในปี 1996 อารานเธสเดินทางมาหาโจและเจสสิก้าที่สก็อตแลนด์ โจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าใกล้เธอ ทั้งสองหย่าขาดจากกันอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 1997
โจให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของทายาททั้ง 3 คนของเธอมาก เธอเคยฟ้องสื่อเจ้าหนึ่งที่แอบถ่ายภาพเธอกับเจสสิก้าขณะเดินอยู่ริมถนน และฟ้องผู้ปกครองคนหนึ่งซึ่งมีลูกเรียนอยู่ห้องเดียวกับเดวิค หลังจากเธอพบโน้ตในกระเป๋าของลูกชายซึ่งเป็นข้อความส่งถึงเธอเพื่อสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับต้นฉบับแฮร์รี่ พอตเตอร์
มุมมองทางด้านสังคม
โจสนใจประเด็นต่างๆ ในสังคมมาตั้งแต่ยุคอินเตอร์เน็ตแรกเริ่ม และก่อนการมาถึงของยุคสังคมออนไลน์ โจมักจะให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วารสาร เว็บบอร์ดของสำนักพิมพ์ไปจนถึงการมีส่วนร่วมกับกลุ่มแฟนๆ ของเธอ - ในเดือนมิถุนายน 2009 เธอเปิดบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัวครั้งแรก และเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารของเธอไปถึงกลุ่มแฟนๆ โดยตรงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
โจเป็นผู้สนับสนุนหลักของพรรคแรงงาน พรรคการเมืองฝั่งซ้ายในสหราชอาณาจักร เธอเป็นเพื่อนกับกอร์ดอน บราวน์ (นายกรัฐมนตรีของอังกฤษช่วงปี 2007 - 2010) เคยบริจาคเงิน 1 ล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนพรรคแรงงานในประเด็นการยกระดับชีวิตของกลุ่มประชากรยากไร้ในสหราชอาณาจักร โจคัดค้านการแยกเอกราชของสก็อตแลนด์ออกจากสหราชอาณาจักรในปี 2014 และคัดค้านการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปในปี 2016
ในการเมืองระดับนานาชาติ โจเป็นผู้สนับสนุนบารัค โอบามาและฮิลลารี คลินตันจากฝั่งเดโมแครต เธอมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า "ต่อต้าน" โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในช่วง 2017 - 2020 โดยเฉพาะประเด็นการเหยียดผู้หญิงและการกีดกันกลุ่มผู้อพยพ
โจตกเป็นเป้าการวิพากย์วิจารณ์ครั้งใหญ่ในช่วงปี 2020 เมื่อเธอแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศ โดยเฉพาะในประเด็นสิทธิกลุ่มคนข้ามเพศกับสิทธิสตรี การแสดงความเห็นของโจในครั้งนี้ ทำให้เธอถูกต่อต้านจากฝั่งซ้ายด้วยกัน โดยเฉพาะกลุ่มแฟนคลับแฮร์รี่ พอตเตอร์ พวกเขาประนามความเห็นของโจว่า กำลังสร้างความเกลียดชัง และ เหยียดคนข้ามเพศ - โจออกแถลงการณ์ในเดือนมิถุนายน 2020 ถึงสาเหตุการออกมาพูดในประเด็นเรื่องอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศ (อ่านฉบับเต็มแปลไทย)
เธอมีจุดยืนหลักๆ อยู่สามข้อในการออกมาพูดเรื่องนี้ หนึ่ง แนวคิดอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงนั้น ส่งผลกระทบต่อมูลนิธิ/องค์กรการกุศลที่เธอดูแลอยู่ สอง เธอยึดหลักการเรื่องเสรีภาพทางความคิดและการพูด ซึ่งในมุมของโจกลุ่มนักเคลื่อนไหวอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศ กำลังใช้กลยุทธ์เผด็จการเพื่อปิดปากทุกคนที่ออกมาตั้งคำถาม สาม เธอพบว่ามีเยาวชนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกล่อลวงด้วยอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศนี้ จนนำไปสู่กระบวนการบำบัดรักษาด้วยการรับยา ฮอร์โมนไปจนถึงการผ่าตัดแปลงเพศ และกลุ่ม detransitioner กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเด็กผู้หญิง ที่มีอาการออทิสติกและภาวะ OCD
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifa