“พวกคุณเข้าใจฉันผิดไปอย่างมาก”
ซีรีย์เสียงใหม่ล่าสุดจากบทสัมภาษณ์นักเขียนชื่อดังที่ประสบความสำเร็จระดับโลก
เจ.เค.โรว์ลิ่ง นักเขียนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการสื่อสิ่งพิมพ์ - อาจจะยกเว้นพระเจ้า - และแฮร์รี่ พอตเตอร์ก็เป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลสำหรับคนรุ่นฉัน ตั้งแต่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงปลายทศวรรษ 90 หนังสือชุดนี้ได้สอนเด็กหลายสิบล้านคนทั่วโลกเกี่ยวกับคุณธรรม ความจงรักภักดี ความกล้าหาญและความรัก การอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายรูปแบบ การเฉลิมฉลองของการยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน หนังสือแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ บุคคลที่ดูน่ากลัวในตอนแรกกลับกลายเป็นวีรบุรุษในตอนท้าย
เรื่องราวของผู้แต่งได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างตำนานนี้เช่นกัน จากคุณแม่ผู้เลี้ยงเดี่ยว ยากจน ถูกรังแกและซึมเศร้า เขียนหนังสือด้วยลายมือทั่วร้านกาแฟในเมืองเอดินเบอระพร้อมกับลูกสาวตัวน้อยที่นอนอยู่ในรถเข็นข้างๆ - เธอได้แต่งนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ระดับโลก - ดังนั้นถ้าเปรียบแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นไบเบิล โรว์ลิ่งก็เป็นนักบุญนั่นเอง
โรว์ลิ่งถูกเชิญให้ไปกล่าวปราศรัยในพิธีสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 2008 เธอได้แนะนำผู้ฟังถึงแรงบันดาลใจทางสังคม การเมืองและศีลธรรม สุนทรพจน์ของเธอในวันนั้นมีส่วนหนึ่งเกี่ยวกับความสำคัญจินตนาการ "เป็นพลังที่ทำให้เราเห็นเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้ว่าเราจะไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกันมาก่อน"
"เราไม่ต้องการเวทมนตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเรา - พวกเราต่างมีพลังนั้นกันอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน"
เสียงปรบมืออันกึกก้องให้เธอในวันนั้น เป็นภาพที่ยากจะเกิดขึ้นได้อีกครั้งแล้วในทุกวันนี้ - มันยากที่จะนึกภาพว่าฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติของอเมริกา จะต้อนรับโรว์ลิ่งอีกครั้ง ที่ทุกวันนี้สำหรับหลายๆ คน เธอได้กลายเป็นลอร์ด โวลเดอมอร์ ตัวร้ายในจักรวาลที่เธอสร้างขึ้นมาเอง
มันเริ่มต้นขึ้นในช่วงฤดูร้อน ปี 2020...
"ผู้มีประจำเดือน" ฉันแน่ใจว่ามีคำเรียกคนพวกนั้นดีกว่านี้นะ มีใครพอจะช่วยฉันนึกออกบ้างไหม (แล้วเธอก็เลือกใช้คำแสลง เพื่อเป็นการเหน็บแนมว่า ทำไมไม่ใช้คำว่าผู้หญิง [Women] ออกมาโดยตรง) Wumben? Wimpund? Woomud?
แต่เธอไม่ได้หยุดแค่นั้น...
“ถ้าเพศ(กำเนิด)ไม่มีอยู่จริง งั้นก็ไม่มีคำว่ารักเพศเดียวกัน ถ้าเพศไม่มีจริง ตัวตนของผู้หญิงทั้งโลกก็จะถูกลบออกไปด้วย ฉันรักคนข้ามเพศนะ แต่การลบแนวคิดที่ว่าเพศกำเนิดไม่มีอยู่จริงก็จะทำให้คุณค่าในชีวิตของใครหลายๆ คนต้องถูกลืมไปด้วย มันไม่ใช่ความเกลียดชังนะ มันคือการพูดความจริง ”
ถ้อยแถลงนั้นดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พายุไฟแห่งความโกรธ โหมกระหน่ำไปทั่วทันที
พนักงาน 2 คน ของสำนักพิมพ์ที่เพิ่งตีพิมพ์หนังสือให้กับโรว์ลิ่ง ขอลาออกเพราะไม่พอใจกับข้อความบนทวิตเตอร์ของเธอ แฟนด้อมแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั่วโลกลบชื่อเธอออกจากเว็บไซต์ กลุ่มนักแสดงหลักในชุดภาพยนตร์ต่างดาหน้ากันออกมาบอกว่า “ไม่เห็นด้วย” กับความคิดของเธอ TikTok เริ่มสร้างเทรนด์เปลี่ยนหน้าปกหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ใหม่ โดยการลบชื่อเธอออกไปจากปกหนังสือ กลุ่มสมาคมควิดดิชในอเมริกา (ไม่ใช่ควิดดิชจริงๆ หรอกนะ) ประกาศเปลี่ยนชื่อกีฬาใหม่ เพื่อแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับเธอ (แต่วิธีการเล่นก็คือควิดดิชอยู่ดีนั่นล่ะ)
ส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้เรื่องนี้ลามไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ก็คือ สื่อออนไลน์ต่างๆ ทั่วโลก พร้อมใจพาดหัวข่าวกันไปในแนวทางเดียวกัน ข่าวที่ชี้นำไปในทางที่ว่า นักเขียนผู้ให้กำเนิดแฮร์รี่ พอตเตอร์คนนี้เป็นพวกเกลียดคนข้ามเพศ (transphobia)
กระแสที่ตีกลับไปยังโรว์ลิ่ง หวังให้เธอออกมาขอโทษ แต่เธอปฏิเสธ - พร้อมกับออกแถลงการณ์เป็นบทความยาว บอกถึงที่มาที่ไปทั้งหมด (สามารถอ่านได้จาก Link ทางด้านขวามือ) สรุปแบบรวบยอดคือ โรว์ลิ่งมีแผลทางใจจากอดีตสามี และเธอกำลังพูดแทนผู้หญิงทุกคนที่โดนประนามว่าเหยียดเพศเพียงเพราะต้องการพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเพศหญิงด้วยกัน
แต่นั่นก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรมาก หลายคนเอาแถลงการณ์ของโรว์ลิ่งมาขยายความและเปลี่ยนเธอจากผู้นำหญิงหัวก้าวหน้าให้กลายเป็นยายป้าขวาจัดที่น่ารังเกียจ แฟนไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์เจ้าใหญ่รายหนึ่งบอกว่าเธอ “ใจสลาย” และเชิญชวนให้ทุกคนหยุดสนับสนุนโรว์ลิ่ง และหลายส่วนบอกว่าเธอได้ทำลายชื่อเสียงของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย
แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่โรว์ลิ่งตกเป็นเป้าการวิพากย์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ช่วงปลายทศวรรษ 90 ถึงต้นปี 2000 - ชาวคริสต์หลายคนมองว่าเรื่องราวที่เธอสร้าง ซึ่งเกี่ยวกับพ่อมดและเวทมนตร์ศาสตร์นั้นเป็นอันตรายต่อเด็ก อีกทั้งยังเป็นบาปและมีพิษภัย พวกเขาทำสารคดีภาพยนตร์ เขียนหนังสือ เพื่อประนามชื่อเสียงและอิทธิพลของเธอ แสดงปาฐกถาต่อต้านเธอ รณรงค์ให้นำผลงานของเธอออกจากห้องสมุดโรงเรียน - ความพยายามที่จะเซนเซอร์ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นหนังสือที่ถูกแบนมากที่สุดข้ามทศวรรษ และกลุ่มคนเหล่านี้บางคนก็เอาหนังสือของเธอมาเผาด้วย
ฉันติดตามดูการโต้เถียงในเรื่องนี้มานานอยู่พักใหญ่แล้ว ฉันยิ่งอยากเข้าใจถึงมุมมองและความคิดของผู้คนที่กระโดดเข้ามาในความขัดแย้งนี้ โรว์ลิ่งมีมุมมองเกี่ยวกับตัวเองและความคิดของเธออย่างไร ทำไมโรว์ลิ่งถึงยังเลือกที่จะยึดมั่นในความคิดของเธออย่างหนักแน่นขนาดนี้ และการโต้เถียงก็ดำเนินต่อไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะหาจุดจบลงได้ที่ไหน”
ฉันเลยทำเหมือนกับผู้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์หลายล้านคนก่อนหน้านี้ - ฉันเขียนจดหมายไปหาเธอ (เจ.เค.โรว์ลิ่ง) เพื่อขอสัมภาษณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าเธอมีที่มาที่ไปอย่างไร และฉันก็โน้มน้าวเธอไปด้วยว่าทำไมฉันจึงน่าจะเป็นคนๆ นั้น ที่จะนำมุมมองและความคิดของเธอออกมาตีแผ่
ฉันเกิดและเติบโตขึ้นท่ามกลางโบสถ์ Westboro Baptist สมาคมเล็กๆ ที่ก่อตั้งโดยคุณปู่ของฉัน เป็นสังคมเล็กๆ ที่แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ตั้งแต่ห้าขวบ ฉันเริ่มออกเดินประท้วงไปพร้อมกับพ่อแม่ ญาติพี่น้องและครอบครัวเล็กๆ ของเรา ไปตามงานศพของผู้ป่วยโรคเอดส์และทหารอเมริกันแล้วชูป้ายที่เขียนว่า "God Hates Fags" - ฉันเคยเชื่ออย่างจริงจังว่าเรากำลังทำงานของพระเจ้า การประท้วงของพวกเรานั้นเต็มไปด้วยความรัก ความหวังดี เตือนโลกให้เห็นถึงบาปที่จะย้อนมาทำร้ายพวกเรากันเอง
เมื่อโตขึ้นฉันได้กลายเป็นสาวกแห่ง Westboro อย่างเต็มตัว - ฉันเคยใช้เวลาในหนึ่งวันไปกับการเผยแพร่ความเกลียดชังและความน่าขยะแขยง วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่ากำลังช่วยเหลือโลก โดยการบอกทุกคนว่าจะต้องตกนรก ถ้าไม่ทำตามที่ฉันแนะนำ แต่เมื่อฉันนำเอาวัจนะของพระเจ้าไปเผยแพร่ใน Twitter - ตอนนั้นฉันอายุยี่สิบกลางๆ - เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบเจอกับคนแปลกหน้า ซึ่งผ่านมาเข้ามาหลายรูปแบบ ทั้งเมตตา เยาะเย้ย ถากถาง และการพูดคุยกันแบบปัญญาชน - จุดนั้นเองที่ทำให้ฉันเริ่มตระหนักว่าต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง
สิบปีก่อน - เมื่ออายุได้ 26 ปี - ฉันออกจากกลุ่มนั้นมา และต้องเสียครอบครัวกับญาติพี่น้องไปตลอดกาล คนแปลกหน้าทั้งหลายใน Twitter กลับกลายมาเป็นเพื่อนรักที่สุดของฉัน หนึ่งในนั้นมีชายคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันคือสามีของฉัน และเป็นพ่อของลูกๆ ฉันทั้งสองคน
เหมือนกับโรว์ลิ่ง ฉันรู้ดีว่าการถูกเกลียดชังอย่างรุนแรงและไร้เหตุผลนั้นมันเป็นอย่างไร แต่ฉันก็รู้ถึงคุณค่าของการนั่งถกเถียงหรือพูดคุยกันอย่างใจเย็นและจริงใจ มันสามารถเป็นสะพานหรือกาวใจที่สามารถประสานรอยร้าวให้กลับมาใหม่ได้ แม้มันจะร้าวลึกแค่ไหนก็ตาม
ฉันประหลาดใจที่โรว์ลิ่งตอบรับจดหมายเชิญของฉัน - พร้อมกับบอกว่าได้อ่านเรื่องราวของฉัน แล้วผ่านหนังสือที่เธอส่งไปให้เป็นของขวัญแก่โรว์ลิ่งพร้อมกับจดหมายเชิญ
และหน้าร้อนปีที่แล้ว ฉันเก็บกระเป๋ามุ่งหน้าสู่สก็อตแลนด์
โรว์ลิ่งพร้อมสำหรับการให้สัมภาษณ์ ตามข้อคำถามที่ฉันได้ส่งมาให้เธอก่อนหน้า - เธอมีหลายเรื่องราวที่อยากชวนให้วิพากย์ ประสบการณ์การหนีออกมาจากชีวิตสมรสที่ทำร้ายเธอทั้งทางร่างกายและจิตใจ จุดกำเนิดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ และความขัดแย้งที่โรว์ลิ่งยังคงมีส่วนร่วมอยู่ในทุกวันนี้ และสาเหตุว่าทำไมเธอถึงกล้า "ทิ้งระเบิด" ลงบน Twitter เมื่อปี 2020
โรว์ลิ่งบอกฉันว่า ที่เธอตัดสินทำมันลงไปนั้นไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เธอไตร่ตรองและคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็รู้ดีว่าจะมีผลสะท้อนอะไรกลับมาที่เธอบ้าง
“ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะทำให้ใครเสียใจ” โรว์ลิ่งกล่าว
“ฉันไม่เสียใจหรอกถ้าต้องลงจากแท่น (ชื่อเสียง)”
แม้แฟนๆ หลายคนบอกว่าโรว์ลิ่งกำลังทำลายชื่อเสียงของตัวเองที่เพียรสร้างมา เธอกล่าวว่า
“พวกคุณต่างหาก ที่กำลังเข้าใจฉันผิดมหันต์”
แต่เรื่องราวของ เจ.เค.โรว์ลิ่ง นั้น ไม่ใช่แค่เรื่องราวของนักเขียนเพียงคนเดียว ผู้หญิงคนเดียวหรือประเด็นเดียว แต่มันเป็นจุดเล็กๆ ในช่วงชีวิตหนึ่งของพวกเรา - มันคือการแบ่งขั้วทางความคิดที่นำไปสู่จุดแตกหัก จนไม่สามารถนำมาพูดกันได้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ มันคือช่องว่างของการที่ผู้คนอยากพูดออกมาว่าตนนั้นมีความเชื่ออย่างไร และถูกคนอื่นเข้าใจว่าอย่างไร - รวมถึงการค้นหาอัตลักษณ์และการยอมรับตัวตนให้กับตนเอง ไปจนถึงการต่อสู้กับตนเองเมื่อความคิดของสาธารณชนส่วนใหญ่กำลังชี้นำไปในอีกทางหนึ่งซึ่งขัดกับความเชื่อและอุดมการณ์ของเรา แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ – ซึ่งเป็นสัตว์สังคมที่ถูกบังคับกลายๆ ว่าต้องเห็นพ้องไปกับแนวทางใหม่ของเผ่าพันธ์
ฉันยังได้ใช้ช่วงเวลาต่างๆ นี้ในการได้พูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นความขัดแย้งนี้ ผู้ใหญ่ข้ามเพศ วัยรุ่น ผู้เชี่ยวชาญ นักเคลื่อนไหว นักประวัติศาสตร์ ผู้สื่อข่าว นักเขียน ชาวคริสต์ผู้ซึ่งเคยคว่ำบาตรพอตเตอร์ในช่วงปี 90 แพทย์ ทนายความ หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องการล่าแม่มด และฉันยังได้ใช้เวลานั่งคุยกับโรว์ลิ่งที่บ้านของเธอในเอดินเบอระเป็นเวลาหลายวัน
มีหัวข้อย่อยมากมายในประเด็นเหล่านี้ และฉันต้องขอบคุณผู้ที่มีน้ำใจพอหรือยอมใจอ่อนที่จะเผยมุมมองและความคิดของพวกเขาเองออกมาให้ฉันฟัง ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หลายคนรู้สึกกังวลเมื่อเห็นว่าฉันมีการบันทึกเสียง พวกเขากลัวจะถูกล่าแม่มดหากให้ความเห็นที่ไม่ถูกใจใครบางกลุ่มไป กลัวที่จะสูญเสียเพื่อน หน้าที่การงาน ความปลอดภัย ไปจนถึงชื่อเสียงของพวกเขาเองด้วย
ฉันเองก็ยอมรับว่ารู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน แต่กระนั้น ฉันก็ยังเชื่อในพลังของการจับเข่าและพูดคุยกันอย่างใจเย็น สิ่งที่ฉันได้มาในซีรีส์ชุดนี้ล้วนท้าทายสมมติฐานที่ฉันได้ตั้งไว้ ฉันเพิ่งพบว่าประเด็น เรื่องราวและความขัดแย้งต่างๆ เหล่านี้มันซับซ้อนกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก - แม้สุดท้ายแล้วฉันจะไม่มีคำตอบที่แน่ชัดให้ แต่ฉันก็ยังเชื่อว่า การนั่งคุยกันดีๆ อย่างใจเย็นและเปิดใจ จะช่วยประสานรอยร้าวและความไม่เข้าใจที่กำลังแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางนี้ให้ขยายออกไปช้าลงได้
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
ตอนแรกจะเริ่มออกอากาศวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifa