*** ถอดความเฉพาะส่วนที่สัมภาษณ์ J.K Rowling ***
ฉันไม่เคยตั้งใจทำให้ใครเสียใจ และฉันก็ไม่เสียใจที่จะลงจากแท่น (ชื่อเสียง) นี้
สิ่งที่ฉันสนใจที่สุดในช่วงหลายสิบปีมานี้ - โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีหลัง กับประเด็นบนโลกออนไลน์
"คุณกำลังทำลายตำนานที่คุณสร้างมา คุณอาจจะเป็นที่รักไปตลอดกาล แต่คุณเลือกที่จะทำแบบนี้น่ะเหรอ"
ฉันคิดว่าพวกคุณเข้าใจฉันผิดมหันต์นะ ฉันไม่เสียเวลามานั่งคิดหรอกว่าตัวเองได้สร้างตำนานอะไรไว้บ้าง
ฉันว่ามันออกจะประหลาดด้วยซ้ำ ถ้าวันๆ จะเอาแต่นั่งคิดเรื่องแบบนี้
เดี๋ยวฉันก็ตายแล้ว เรื่องนี้ต่างหากที่ฉันสนใจ ฉันใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
Megan : ทำไมคุณคิดว่าคนเรา - โดยเฉพาะเด็กๆ - ถึงชอบเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อมด แม่มด ยักษ์และมนตร์ดำ มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา และอะไรในเวทมนตร์หรือโลกเวทมนตร์ที่ดึงดูดใจให้พวกเราเข้าหามัน
J.K : ฉันสนใจเรื่องนี้มากๆ เพราะมันสะท้อนให้เห็นบางสิ่งที่ลึกซึ้งในธรรมชาติของมนุษย์เรา เวทมนตร์ทำให้ผู้คนมีความพิเศษในแบบที่พวกเขาไม่เคยมี และฉันคิดว่าประเด็นนี้ล่ะจึงดึงดูดใจเด็กๆ ได้เป็นพิเศษ เพราะว่าพวกเขาเป็นเด็ก ไม่มีอำนาจใดๆ แม้แต่เด็กที่โตมาในครอบครัวสุขสันต์ก็ตาม ดังนั้นความคิดที่ว่าถ้าคุณมีพลังวิเศษ ลึกลับ เหนือธรรมชาติซ่อนอยู่ภายใน จึงสอดคล้องกับประเด็นนี้มากแม้แต่ผู้ใหญ่อย่างพวกเรา แต่แน่นอน - มันจะโดนใจพวกเด็กๆ มากที่สุด
Megan : ฉันขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ และฉันรู้ว่าคุณเคยพูดถึงมันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วงก่อนหน้าที่แฮร์รี่ พอตเตอร์จะตีพิมพ์ แต่เรื่องที่เรากำลังพูดคุยกันนี้ยังคงไม่มีจุดสิ้นสุด เพื่อจะได้สะท้อนมุมมองของคุณในปัจจุบันว่าอยู่ตรงจุดไหน ดังนั้น การให้คุณได้ช่วยทบทวนถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาจึงน่าจะช่วยได้
J.K : ฉันเข้าใจดีเลยว่าคุณหมายถึงอะไร คุณพูดถูก ฉันถูกถามเป็นล้านๆ ครั้ง เกี่ยวกับตอนที่ไอเดียต่างๆ นี้ผุดขึ้นมาบนรถไฟ และฉันเคยเล่าไปหลายครั้งแล้ว เหมือนได้ย้อนเวลากลับไป แล้วจู่ๆ ก็สะดุดเข้ากับบ่อน้ำเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรู้และความทรงจำ แล้วมันก็สว่างวาบขึ้นมา
ฉันปิ๊งไอเดียในการเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ เมื่อตอนอายุ 25 ปี ถามว่าไอเดียพวกนั้นมาจากไหน ฉันไม่เคยรู้จริงๆ อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามาในหัวฉัน และฉันก็คิดต่อทันทีว่า "ฉันจะต้องเขียนมัน พระเจ้า! ฉันรักไอเดียนี้" ที่ตลกก็คือฉันไม่ได้เป็นนักอ่านนิยายแฟนตาซียอดเยี่ยมสักเท่าไร สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฉันมากที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด คือ การจะได้ลองศึกษาธรรมชาติของมนุษย์
เขาอยู่กับพวกเดอร์สลีย์มาเกือบสิบปีแล้ว สิบปีแห่งความทุกข์ทรมาณ นานเท่าที่เขาจำความได้นับตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ
และพ่อแม่ตายไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ เขาจำตอนที่อยู่ในรถยนต์เมื่อพ่อแม่ตายไม่ได้เลย
เขาจำพ่อแม่ของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ป้ากับลุงก็ไม่เคยพูดถึงพ่อกับแม่
และแน่นอน เขาถูกห้ามถามคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีรูปถ่ายของพ่อแม่อยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
บทที่ 2 : กระจกล่องหน แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับ ศิลาอาถรรพ์
แต่แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น เด็กชายคนนี้ ผู้ซึ่งไม่มีความสุข ไร้ซึ่งพลังอำนาจใดๆ จู่ๆ ก็เพิ่งได้ค้นพบว่า เขามีอะไร และ เขาเป็นใคร
Megan : คุณช่วยพาฉันย้อนกลับไปในช่วงปี 90 หน่อยได้ไหม ฉันเคยได้ยินคุณบรรยายว่าช่วงเวลานั้นคือตอนที่ความกลัวที่สุดในชีวิตของคุณได้เป็นจริงขึ้นมา
J.K : ใช่ ช่วงปี 90 ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีสำหรับฉัน มันคือช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก แม่ฉันป่วยมานาน ฉันย้ายบ้านจากลอนดอนไปแมนเชสเตอร์ แล้วแม่ฉันก็ตายกระทันหันในคืนวันที่ 30 ธันวาคม 1990 แต่ฉันเพิ่งได้ทราบข่าวตอนรุ่งสางของวันสิ้นปี เธออายุ 45 จริงอยู่ที่เธอป่วยมานานแล้ว แต่เราไม่เคยคาดกันเลยว่าความตายจะมาถึงเร็วขนาดนี้
การสูญเสียนั้นมันกระทบฉันมาก และเป็นจุดเริ่มต้นทศวรรษแห่งการสูญเสียของฉัน และฉันคิดว่ามันน่าจะส่งผลถึงความรู้สึกที่ฉันกำลังจะใส่ลงไปในงานเขียนด้วย ตอนแรกฉันก็อยากจะลืมมันไปเลย ลืมไปตลอดกาล แต่ในความเป็นจริงการสูญเสียและความสิ้นหวังนั้นกลับเป็นตัวนำให้ฉันเข้าไปสู่จุดเริ่มต้น และพอเป็นแบบนั้น เรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มเปลี่ยนไปสู่ความมืดมน
ไอเดียที่เริ่มต้นบนรถไฟในวันนั้น กลายมาเป็นเรื่องราวเด็กกำพร้า
J.K : ฉันคิดโครงเรื่องไว้คร่าวๆ ประมาณ 6 เดือนก่อนที่แม่ฉันจะตาย ในความเป็นจริงมันน่าเศร้ามากที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ตอนนี้ฉันได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการสูญเสียมันเป็นยังไง
ในปี 1991 เมื่ออายุ 25 ปี โรว์ลิ่งเลิกกับแฟนหนุ่ม ลาออกจากงานและออกจากอังกฤษ
J.K : ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องหนี ฉันไปต่างประเทศ ฉันรู้ว่าฉันชอบสอนหนังสือ ฉันคิดแค่ว่าฉันต้องหนีไป อย่างน้อยก็น่าจะสักปีหนึ่ง ฉันไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไม ฉันหนีไปโปรตุเกส
ตอนแรกมันก็ดูดีนะ "ฉันหนีมาแล้ว อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ นี่ล่ะจะช่วยฉันได้" แต่กลายเป็นว่าอารมณ์ฉันยังคงเปราะบางและอ่อนไหวมาก ฉันรู้ตัวเองดี ดังนั้นแม้จะมีอะไรสนุกๆ ให้ทำมากมาย แต่เมื่อต้องอยู่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่แปลกหน้า ฉันยิ่งรู้สึกหลงทางมากเข้าไปอีก แต่ฉันกลับแสร้งแสดงออกมาว่าตัวเองยังปกติ
Megan : ก็คือคุณไปโปรตุเกส แล้วได้พบกับชายคนหนึ่ง
J.K : ใช่ ฉันพบกับเขาหลังจากไปอยู่ที่นั่นได้ 6 เดือน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะในบาร์ พร้อมกับเพื่อนๆ ของฉัน เขาดูดี เขาเป็นนักข่าว แล้วเราก็เริ่มออกเดตกัน ตอนแรกมันโอเคมากๆ ฉันกำลังล่องลอยไปกับอะไรบางอย่าง ฉันรู้ว่ามันไม่สมบูรณ์แบบหรอก แต่นั่นก็คือสิ่งที่ฉันต้องการ เป็นความรู้สีกที่ดีเวลาได้ตกหลุมรัก แต่กระนั้น ฉันก็ยังรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ดี
แล้วฉันก็ท้องโดยไม่ตั้งใจ เขาขอฉันแต่งงาน แต่ต่อมาฉันเสียลูก ฉันแท้ง ซึ่งนั่นยิ่งเป็นการสร้างบาดแผลให้กับฉันเพิ่มขึ้นมาอีก และคราวนี้มันเป็นบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ ฉันเผชิญหน้ากับการสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้ง และเมื่อถึงจุดนั้น ฉันก็อยู่ในสภาวะความไม่มั่นคงทางจิตใจอย่างแท้จริง - ฉันเสียลูกไป ฉันเลยคิดว่าต้องให้เวลาสำหรับตัวเองได้เศร้าเสียใจกับเรื่องนี้บ้าง ดังนั้น ฉันจึงคิดกับตัวเองว่า "เราจะยังไม่แต่งงานตอนนี้ ชัดเจน! ตกลงไหม?" ฉันเกือบพูดกับตัวเองว่า "ชัดเจนนะ! โจ เธอจะไม่แต่งงานกับชายคนนี้"
แต่เขาก็โน้มน้าวและกดดันฉันอย่างหนัก จนสุดท้ายฉันต้องคิดทบทวนใหม่ แล้วฉันก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แทบจะทันทีหลังแต่งงานไม่นาน ซึ่งเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ฉันคิดไม่ออกเลยว่าตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงถ้าไม่มีเจสสิก้า
ดังนั้น ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องแย่ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้าง สิ่งมหัศจรยย์ที่เกิดขึ้นกับฉันก็คือลูกสาวของฉันเอง
Megan : แต่จากที่ฉันเข้าใจ แม้ว่าก่อนลูกสาวคุณจะคลอด สามีคุณก็กลายเป็นคนพาลมากขึ้นไปด้วย
J.K : ใช่ สถานการณ์มันแย่มาก แต่จนกว่าคุณจะหลุดออกมาจากตรงนั้น คุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าควรจะเลือกหนทางไหน ฉันเคยทิ้งเขาสองครั้งก่อนที่จะหนีออกมาจริงๆ แล้วฉันก็เป็นฝ่ายกลับไปหาเขาทั้งสองรอบ ชีวิตแต่งงานกลายเป็นความรุนแรงและการควบคุมที่มากจนเกินพอดี เขาเริ่มค้นกระเป๋าฉันทุกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาไม่ยอมให้ฉันถือกุญแจบ้าน เขาควบคุมทุกอย่างแม้กระทั่งลูกกุญแจ และฉันคิดว่าเขาไม่ใช่คนน่าโง่ - เขาดูออกว่าฉันพยายามจะหนีอีก มันเป็นสถานการณ์ที่สยองขวัญและน่าอึดอัดมาก เพราะคุณต้องแสร้งว่ามันไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติ แต่ฉันก็ไม่ใช่นักแสดงที่ดี ฉันปั้นสีหน้าไม่เก่ง และมันเครียดมากที่ต้องแกล้งทำเป็นว่าอยากอยู่ ช่วงเวลาชีวิตฉันในตอนนั้นมันแย่มากๆ
แต่ขณะเดียวกัน ฉันก็ยังเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์ต่อไป และเขาก็รู้ด้วยว่าร่างต้นฉบับนั้นมีความสำคัญกับฉันมากแค่ไหน แต่เขาก็เอามันไปซ่อน นั่นล่ะ! เขาเอาต้นฉบับของฉันเป็นตัวประกันไม่ให้ฉันหนี - พอฉันพบความจริง ฉันถึงได้รู้แน่ชัดแล้วว่าฉันต้องหนีไป ฉันทนอยู่กับเขาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว - ฉันค่อยๆ เอาร่างต้นฉบับที่เขาเอาไปเก็บซ่อนไว้ออกมา เอามันไปที่ทำงานและถ่ายสำเนาเอาไว้ ฉันทำแบบนี้ทุกวัน ทีละนิดๆ ซ่อนมันไว้ในห้องใต้บันไดของที่ทำงาน ฉันคาดการณ์ไว้ว่าถ้าฉันหนีออกมาตัวเปล่า เขาน่าจะจัดการกับร่างต้นฉบับที่เอาไป อาจจะเผามันทิ้งไปหรือเก็บมันไว้เป็นตัวประกันเพื่อต่อรอง
ร่างต้นฉบับพวกนั้นจึงมีความหมายกับฉันมาก ฉันทุ่มเทอย่างหนักเพื่อรักษาพวกมันไว้ อีกสิ่งหนึ่งก็คือลูกสาวของฉัน ซึ่งตอนนั้นเธอยังอยู่ในตัวฉัน ดังนั้นเธอจึงอยู่อย่างปลอดภัยที่สุดแล้วในสถานการณ์ตอนนั้น
เดือนกรกฎาคม ปี 1993 โรว์ลิ่งให้กำเนิดลูกสาว ชื่อว่า เจสสิก้า
J.K : หลังจากเธอเกิดมาไม่นาน ฉันรู้และตอบตัวเองได้อย่างทันทีเลยว่า "ฉันต้องหนีไป" เธอจะต้องไม่โตขึ้นมาพร้อมกับเห็นว่าแม่ของเธอถูกกระทำอย่างไร เธอจะต้องไม่โตมาแล้วคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติยอมรับได้ - ฉันตั้งใจว่าจะหนีไปแบบเงียบๆ ฉันวางแผนทุกอย่างเอาไว้เพื่อเตรียมหนี ไปพร้อมกับลูกสาว ทุกอย่างราบรื่นและถูกจัดเตรียมไว้แล้วอย่างเป็นลำดับขั้นตอน แต่แล้ว พวกเขาก็รู้จนได้ในคืนหนึ่ง - น่าจะประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ฉันเตรียมจะหนีออกไปจริง - เขามาที่บ้านกลางดึกและโกรธจัด แล้วฉันก็ระเบิดออกไปว่า "ฉันอยากหนี - ฉันไม่อยากอยู่แล้ว"
แล้วเขาก็เริ่มใช้ความรุนแรง พร้อมกับพูดว่า "ถ้าอยากจะหนีก็ไปเลย แต่ทิ้งเจสสิก้าไว้ ฉันจะเอาเธอไปซ่อน แล้วไม่ให้คุณได้พบกับเธออีกเลย"
แค่นั้นล่ะ ฉันสู้กับเขาทันที และฉันต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงลิ่วด้วย - เราต่อสู้กันเสียงดังและรุนแรงมาก ก่อนจะจบลงที่ฉันต้องลงไปนอนกับพื้นถนน แล้วฉันก็คิดว่า "โอเค ฉันจะไปหาตำรวจ" - ฉันตรงไปที่สถานีตำรวจ ฉันถูกสอบปากคำและพวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าฉันเพิ่งถูกทุบตีมาหมาดๆ และฟกช้ำไปทั้งตัว ฉันยื่นคำร้องและวันต่อมาฉันก็กลับไปที่บ้านพร้อมกับตำรวจเพื่อไปเอาตัวเจสสิก้าออกมา
Megan : พอย้ายกลับมาที่อังกฤษ ชีวิตคุณเป็นอย่างไรบ้าง
J.K : ฉันจะไม่บอกว่ามันตกต่ำมากจนคุณนึกภาพไม่ออก เพราะมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ฉันได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ คนที่มีเมตตา - ฉันไปขออาศัยอยู่กับน้องสาว ซึ่งแน่นอนว่าบางคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับฉันอาจไม่ได้รับโอกาสแบบนี้ - แต่นั่นล่ะ ฉันพักอยู่กับน้องสาวประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนจะย้ายออกมาหาที่อยู่เอง เป็นห้องเช่าขนาดเล็ก (bedsit) มีห้องน้ำแล้วก็ครัวพร้อมกับทุกอย่างๆ อยู่ด้วยกัน
Megan : เหมือนห้องคอนโดสตูดิโอน่ะเหรอ
J.K : ประมาณนั้นล่ะ แต่นั่นก็ฟังดูหรูหราไปสักหน่อยนะ - ฉันกับลูกพักอยู่ด้วยกัน ฉันใช้ชีวิตด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล - หรือที่คุณเรียกว่าสวัสดิการนั่นล่ะ และสุขภาพจิตของฉันก็ยังไม่ปกติดี ฉันไม่เคยอาศัยอยู่ที่สก็อตแลนด์มาก่อน แม้ว่าฉันจะมีบรรพบุรุษเป็นชาวสก็อตก็เถอะ - แต่ฉันก็เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะน้องสาวของฉันอยู่ที่นี่ด้วย - ฉันเพิ่งแยกทาง เสียเวลา คิดอยากฆ่าตัวตาย ฉันตกไปสู่วังวนแห่งความมืดและเปราะบาง
แต่มันก็ช่วยให้ฉันเห็นว่าอะไรที่สำคัญ ฉันยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าล้มเหลว แต่ฉันยังมีเรื่องราวที่ฉันรักมากกว่าสิ่งใด มันเป็นความรักที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อนและมันก็ทรงพลังมาก แล้วฉันก็ลงมือเขียนมันต่อไป
ฉันใช้เวลาเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่ 17 ปี และฉันเข้าใจหลายสิ่งในเรื่องราวนั้นที่อาจไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ - และฉันยังคงเชื่อแบบนั้น แม้กระทั่งตอนนี้ที่ชีวิตฉันดีขึ้นแล้ว รวมถึงจิตใจของฉันที่แข็งแรงและปกติดีในตอนนี้ - ฉันยังคงยึดติดกับส่วนนั้น โครงร่างที่ฉันเขียนมันขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด เพราะนั่นคือแก่นทั้งหมดของเรื่องราวที่ทรงพลัง
ซึ่งฉันเองก็ยังไม่รู้ ว่าผลลัพธ์มันจะออกมายังไง.
Megan : หนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งเป็นความจริงด้วย ที่ว่าหนังสือเล่มแรกถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธถึง 12 แห่ง ก่อนที่แหล่งสุดท้ายจะยอมตอบรับและตีพิมพ์
J.K : สำนักพิมพ์ต้องทำตามกระแสและความนิยมของตลาด ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจในแง่ของธุรกิจ ฉันคิดว่าบางครั้งพวกเขาก็อาจทำผิดพลาดได้ และเพราะว่าต้องอิงตามกระแสและความนิยมนั่นล่ะ ที่อาจทำให้มุมมองของเขาจำเพาะและแคบเกินไป - แต่นั่นมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น - ฉันคิดว่ามีอยู่สามอย่างที่เกิดขึ้นกับหนังสือ - อย่างแรก โรงเรียนประจำ - ขอผ่าน! ไม่มีใครสนใจอ่านหรอก - สอง มันยาวเกินไป เล่มแรกความยาว 95,000 คำ แต่ลองเทียบกับฟินิกซ์ - ภาคีนกฟินิกซ์ - สิ ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันยาวแค่ไหน และสาม - ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้นะ เพราะมันเป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชาย ดังนั้นพวกเขาเลยไม่อยากให้ฉันใช้ชื่อจริงบนหน้าปกหนังสือ พวกเขาอยากให้ฉันใช้ชื่อย่อแทน
ครั้งแรกที่ฉันเห็นหนังสือในร้าน.. แม้จนถึงตอนนี้แล้ว มันก็ยังเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับฉัน และฉันไม่สามารถบรรยายออกมาให้คุณฟังได้ ฉันเป็นนักเขียนที่ได้ตีพิมพ์แล้ว ดูนั่นสิ..
Megan : คุณยังจำตอนที่เห็นมันครั้งแรกในร้านหนังสือได้ใช่ไหม
J.K : ฉันจำได้แม่นเลยล่ะ - แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วนะ - ร้าน Waterstones อยู่บนถนนหลัก และฉันไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อจะไปตามหามันหรอกนะ ฉันไปเพื่อจะซื้อสมุดภาพระบายสีให้ลูกสาว แล้วฉันก็หันไปมอง ตรงโซนหนังสือตัวอักษร R - ฉันคิดในใจว่า "มันจะอยู่ตรงนี้ไหมนะ" - แล้วฉันก็เห็นมัน อยู่ตรงนั้น หนังสือที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีการโปรโมทหรืองานเลี้ยงเปิดตัวที่ใหญ่โต
Megan : ไม่แม้แต่จะอยู่ตรงหน้าต่างร้านเลยเหรอ
J.K : ไม่หรอก แน่นอนอยู่แล้ว! มันแค่ตั้งเงียบๆ อยู่บนชั้นวางแค่นั้น และมันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของฉัน เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พวกเขา (สำนักพิมพ์ในตอนนั้น) ไม่มีงบการตลาดมากพอจะโปรโมทมันด้วยซ้ำ แต่ก็เริ่มเห็นได้ชัดเจน - ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า - พวกเด็กๆ เริ่มพูดเกี่ยวกับหนังสือ เริ่มจากปากต่อปาก แล้วก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
J.K : ฉันไม่พร้อมรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับฉัน
ตอนนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณอย่างมากที่ให้ฉันได้ทำงานที่ฉันรัก ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าความสุขใจอย่างที่สุด แต่ในทางวัตถุ ฉันพบว่าชีวิตฉันกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี พอถึงจุดหนึ่ง ฉันก็มีเงินพอที่จะซื้อบ้านได้หลังหนึ่ง แต่ฉันยังคงหวาดกลัว - ชื่อเสียงที่กำลังถาโถมเข้ามาแซงหน้าฉันหนึ่งก้าวเสมอ บ้านหลังแรกที่ฉันซื้อเป็นบ้านธรรมดาๆ อยู่ติดถนนที่สวยงามเรียบๆ มีกลุ่มนักข่าวจอดรถรออยู่หน้าบ้าน ห่างจากประตูเพียงไม่กี่ฟุต - ฉันเลยรู้สึกเหมือนต้องเล่นตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา และมันเปลี่ยนแปลงเร็วมากเกินกว่าฉันจะรับมือได้ ตลอดเวลา ฉันมีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ข้างใน เพราะฉันรู้ว่า ยังมีคนข้างนอกที่ไม่หวังดีคอยจะเข้ามาหาฉันอยู่
แล้วก็เป็นดั่งที่คาด ฉันบอกความจริงให้คุณก็ได้ เหตุผลที่ฉันย้ายออกจากบ้านหลังแรกพร้อมกับลูก เพราะอดีตสามีของฉันมาหาและพยายามบุกเข้ามา ดังนั้นการย้ายบ้านในตอนนั้นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างรวบรัดและเร่งด่วน
Megan : แปลว่าหลังจากหนีมาได้ คุณยังคงกังวลอยู่ตลอด ว่ายังหนีไม่พ้นเงื้อมมือของสามี
J.K : เห็นใช่ไหม นี่ล่ะคือความวิตกจริตของมัน ฉันพยายามรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็เหมือนมีสายตาจับจ้องมาที่บ้านฉันตลอดเวลา เพราะทุกคนอยากมาหาแล้วบอกว่า "ขอถ่ายรูปกับคุณได้ไหม" "ไม่ได้ คุณถ่ายภาพฉันที่บ้านไม่ได้" "ทำไมล่ะ คุณเป็นที่รักมากเลยนะ คุณเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง" แต่มันไม่ใช่แค่นั้นไง และผลลัพธ์มักจะตรงกันข้ามเลยด้วย เพราะครั้งล่าสุดที่อดีตสามีรู้ที่อยู่ของฉัน เขาพยายามจะบุกเข้ามา
Megan : มันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร คุณกำลังเป็นดาวรุ่งแต่ต้องพยายามหลบซ่อนไปด้วย
J.K : ฉันคิดว่านั่นเป็นบทสรุปที่ถูกต้องที่สุด เท่าที่ฉันเคยได้ยินมา เกี่ยวกับสถานการณ์ของฉัน - พยายามที่จะปรับความเข้าใจ - แต่ขณะเดียวกันความสนใจของสื่อมวลชนก็กำลังจับจ้องลงมาหนักมาก คอยติดตามและอยากรู้ว่าฉันใช้ชีวิตอย่างไร ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ - แต่ฉันเลือกแบบนั้น ไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็น Salinger หรือเป็น Robert Gallbraith แค่เพราะว่า..
Megan : ความปลอดภัยของคุณเอง
J.K : ใช่เลย ฉันอยู่ภายใต้แรงกดดันจริงๆ ที่ฉันไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้
แล้วก็ข้ามไปสู่ปี 2000 ทุกอย่างก็ดูใหญ่โตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในมุมของฉันมันช่างบ้าสิ้นดี ฉันเคยต้องเซนต์หนังสือให้คนทั้ง 2000 พันคนในวันเดียว มีการต่อสู้กันในลานจอดรถ ฉันต้องมีคนคุ้มกันติดตามไปด้วย กลุ่มคนที่มาออกันแล้วมักจะจบลงด้วยความวุ่นวายอยู่เสมอ - จนเมื่อถึงงานๆ หนึ่ง เป็นครั้งแรกที่เราได้รับคำขู่วางระเบิดจากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นชาวคริสต์ขวาจัดหัวรุนแรง -
ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มรู้สึกประสาทขึ้นมาจริงๆ แล้ว คุณรู้ไหม..
... จบ ตอนที่ 1 ...
ถอดบทสัมภาษณ์โดยเว็บไซต์ The Rowling Library
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifa