*** ถอดความเฉพาะส่วนที่สัมภาษณ์ J.K Rowling ***
Warning : บทสัมภาษณ์ตอนนี้มีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน
คำขู่คุกคาม ในช่วงสองสามปีมานี้ มีเยอะมาก ฉันโดนเหมือนกับผู้หญิงทุกคน ที่กล้าลุกขึ้นมาตั้งคำถามในประเด็นนี้
"ฉันอยากจะให้เธอสำลักไขมัน จากท่อนลำข้ามเพศของฉันจริงๆ"
นั่นล่ะ เหมือนถูกคุกคามทางเพศอย่างโจ่งแจ้งเลย
ฉันรู้ว่าคงไม่ได้หมายความตามนั้นจริง และหลายคนก็บอกว่า มันไม่ใช่คำขู่คุกคามอะไร
แต่พอถึงจุดหนึ่ง.. ฉันต้องเริ่มคิดทบทวนใหม่ ว่ายังไงก็ไม่สมควรที่ใครจะได้รับการคุกคามแบบนี้
โดยเฉพาะกับฉัน ที่มากเกินกว่าจะนับหมด
JK : ในที่สุด ฉันก็ถูกคุกคามอย่างรุนแรงแบบตรงๆ เมื่อมีคนมาที่หน้าบ้านของฉัน บ้านที่ฉันอาศัยอยู่กับลูกๆ แล้วที่อยู่ของฉันก็ถูกโพสต์ลงบนโลกออนไลน์ ที่ทำให้ตำรวจระบุได้ว่านี่เป็น "การคุกคามที่แท้จริง"
พวกเขาก็มักโต้กลับว่า “คุณรวยอยู่แล้ว อยู่ในที่ปลอดภัย คุณมีเงินจ่ายค่ารักษาความปลอดภัยได้ ทำไมไม่อยู่เงียบๆ ไปล่ะ" ซึ่งนั่นก็จริง ถูกต้องทั้งหมดเลย แต่ฉันว่านั่นมันผิดประเด็นไปหน่อยนะ -
ความพยายามที่จะบอกให้ฉันหุบปากต่างหาก ที่เหมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงผู้หญิงทุกคนว่าให้อยู่เงียบๆ อย่าออกมาพูดเรื่องนี้ถ้าไม่อยากเดือดร้อน – ฉันกล้าพูดแบบนี้เพราะมีผู้หญิงหลายคนที่มาเล่าให้ฉันฟัง และพวกเขาก็ได้รับคำขู่ประมาณว่า
"ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับ เจ.เค. โรว์ลิงสิ ระวังตัวไว้ให้ดี”
JK : ฉันยังไม่ใช้อินเตอร์เน็ต ในช่วงที่ "ศิลาอาถรรพ์" เพิ่งตีพิมพ์ออกไป จนปี 1998 ฉันถึงได้เริ่มใช้อินเตอร์เน็ต แต่ก็ใช้เพื่อค้นหาข้อมูลกับส่งอีเมลล์เท่านั้น - เหมือนกับพวกเราทุกคนนั่นล่ะ - ตอนนั้น จิตใต้สำนึกของฉันที่บอกว่าต้องปกป้องตัวเอง (รักษาความเป็นส่วนตัว) ฉันจึงไม่ต้องการเข้าไปค้นหาแฮร์รี่ พอตเตอร์ในอินเตอร์เน็ต แต่พอถึงจุดๆ หนึ่ง ที่แฟนด้อมต่างๆ เริ่มตัดเอาบทสัมภาษณ์ของฉันไปเผยแพร่และส่งต่อกัน ฉันเลยเริ่มคิดว่า "โอเค ฉันต้องเข้าไปแล้ว - ฉันต้องรู้ว่าพวกเขาทำอะไร ฉันเพิกเฉยต่อมันไม่ได้อีกต่อไป"
นั่นจึงเป็นการเข้าสู่โลกออนไลน์ครั้งแรกของฉัน
ถ้าให้พูดตรงๆ ฉันทั้งหลงไหลและตื่นกลัวพอๆ กัน - ฉันเห็นว่ามีการแบ่งกลุ่มคนออกเป็นบ้านหลังต่างๆ ซึ่งนั่นน่ารักมาก โดยเฉพาะกับเด็กเล็กและวัยรุ่น มีความโรแมนติกเล็กๆ เกิดขึ้นในกลุ่ม มีการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มแฟนด้อมต่างๆ เข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่แท้จริง - ฉันเฝ้าดูมันเกิดขึ้น และได้เห็นปฏิสัมพันธ์ที่สวยงามต่างๆ มากมายบนโลกออนไลน์
แล้วก็ยังมี - ในช่วงปีหลังๆ มานี้ - ฉันได้เจอผู้คน พวกเขาบอกฉันว่า "ฉันได้พบกับกลุ่มเพื่อนสนิทบน Mugglenet คุณรู้ไหม ฉันกับสามีก็เจอกันโดยมีแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นสะพานเชื่อมกลาง" - มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นเป็นสิ่งสวยงามที่ฉันได้เห็นจากโลกออนไลน์
Megan : โรว์ลิงเองก็เคยเข้าไปร่วมเล่นกับกลุ่มแฟนๆ อยู่หลายครั้ง โดยไม่เปิดเผยชื่อจริง
JK : ฉันเลือกใช้ชื่อที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงใดๆ กับพอตเตอร์ - ฉันก็แอบหวั่นใจนะ พอได้เข้าไปอยู่ท่ามกลางสมาชิกที่ใช้ชื่อจากพอตเตอร์เต็มไปหมด และฉันน่าจะเป็นคนเดียวที่ใช้ชื่อง่ายๆ - ไม่รู้สิ - ฉันแค่กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ และอาจเผยความจริงออกมา - แล้วฉันก็เข้าไปในห้องแชท เห็นแฟนๆ กำลังแลกเปลี่ยนทฤษฎีบางอย่างด้วยกัน
แล้วฉันให้ความเห็นและมุมมองของตัวเองออกไป อย่างธรรมดาและสุภาพมาก แต่แล้วฉันก็โดนผู้ใช้งานคนอื่นๆ รุมถล่ม แล้วบอกให้ออกจากห้องแชทไปเดี๋ยวนี้เลย
ฉันไม่คุ้นกับห้องแชทแบบนั้นมาก่อน และเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนั้นฉันดูเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย - แต่ฉันก็ออกจากห้องแชทนั้นจริงๆ - ฉันออกมาเลย แล้วมานั่งคิด - นี่คือสิ่งที่ฉันคิดจริงๆ เลยนะตอนนั้น - "ฉันเขียนหนังสือมาก็จะเข้าเล่มสามแล้ว - ฉันได้แสดงให้เห็นผลของการรังแก ข่มเหงอยู่ในหน้าแรกๆ ของหนังสือแทบทุกเล่ม และฉันเพิ่งได้ตระหนักในตอนนั้นเองกว่า พฤติกรรมชอบขมขู่และเผด็จการ เป็นหนึ่งในอาการป่วยที่เลวร้ายที่สุดของการเป็นมนุษย์"
ฉันมองดูสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ดูสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ซึ่งบอกว่าเป็นแฟนตัวยงของเฟรนไชส์ที่ฉันสร้าง - ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ดูโง่เง่าในสายตาพวกเขาล่ะ - ซึ่งจริงๆ ฉันก็ไม่แคร์หรอก เพราะฉันก็ประสาทแข็งพอควร - แต่นึกภาพว่าถ้าฉันเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ ที่กำลังตื่นเต้นและได้เข้าไปในห้องแชทนั้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะถูกรุมต่อว่าอย่างเจ็บแสบแทบจะในทันที เพียงเพราะว่าไม่เห็นคล้อยไปกับความเห็นส่วนใหญ่ของกลุ่ม แล้วก็ถูกเตะออกมาเพราะว่าเป็นคนหน้าใหม่ที่ความคิดไม่เข้าพวก - ฉันเลยสนใจมากๆ ที่พวกเขาชอบและหลงไหลในหนังสือพอตเตอร์ แต่ขณะเดียวกัน ก็มีพฤติกรรมเหมือนแบบที่ฉันได้แสดงให้เห็นในหนังสือว่าเลวร้ายและแปลกประหลาดที่สุด
แน่นอนว่ามีพวกชอบก่อกวนอยู่ในสังคมออนไลน์ของ Mugglenet ถึงแม้จะน่ารังเกียจ แต่คนพวกนี้ก็มีอยู่จริง - ตอนแรกฉันก็ว่ามันตลกดี ที่คุณยอมเสียเวลาแต่ละวันมานั่งก่อกวนคนอื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันถึงได้เริ่มตระหนักว่ามันเริ่มกลายเป็นการข่มขู่ - ในช่วงต้นปี 2000 ฉันเริ่มตระหนักได้ว่ามีการโจมตีกลุ่มคนเปราะบาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาในชุมชนพอตเตอร์และเพิ่งพบว่าตนเองถูกกันออกไปเป็นคนนอกกลุ่ม
ฉันรู้สึกว่าต้องปกป้องคนกลุ่มนี้ จากการเฝ้าดูพวกชอบก่อกวนปฏิบัติกับคนเหล่านี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มพบว่ามันไม่น่าขำอีกแล้ว แต่กลับสร้างความกังวลใจให้กับฉันแทน และมันได้นำฉันไปสู่การสร้างสัมพันธ์ระยะยาวทางจดหมายกับผู้คนเหล่านั้น ฉันยังจำได้เลยว่ามีเด็กคนหนึ่งเขียนจดหมายมาหา ซึ่งฉันกับเลขาส่วนตัวต้องโทรไปที่โรงเรียนของเด็กคนนั้น เพราะเรากังวลกันมากๆ ว่าเด็กคนนี้อาจฆ่าตัวตาย - ฉันรับรู้มากเกินไป และฉันยังคงตระหนักดีว่าหนังสือพอตเตอร์เป็นที่พักใจให้กับใครบางคนที่แตกต่างและบางคนที่เปราะบาง
Megan : ตอนนั้นคุณประหลาดใจไหม ที่กลุ่มวัยรุ่นเกย์ดูจะผูกพันธ์กับหนังสือของคุณมากเป็นพิเศษ
JK : บอกตามตรงเลยนะ ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์คือ เมื่อคุณเดินทะลุกำแพงตรงเข้าไปยังตรอกไดแอกอน นอกเหนือจากสิ่งที่ฉันสร้างขึ้นมา เหล่าผู้วิเศษก็ยังเป็นมนุษย์ปถุชนเหมือนกับพวกเรานี่เอง เพียงแต่ว่าเมื่อคุณเสกเวทมนตร์ได้ สิ่งที่ดูเป็นการเย้ยหยันหรือแบ่งแยกในโลกของมักเกิ้ลเรา แทบไม่มีความสำคัญอะไรในโลกเวทมนตร์นั้นเลย
Megan : คุณคิดยังไงเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือของคุณ เกี่ยวกับคนที่รู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น และทำให้รู้สึกเหมือนว่าเป็นคนนอกสังคม เนื้อหาตรงไหนที่เชื่อมโยงไปถึงคนกลุ่มนั้น
JK : ฉันคิดว่าเป็นตัวละครที่ดูน่าสงสารมากที่สุดอย่างลูปิน คนที่ถูกสังคมตีตราจากบางสิ่งที่ติดอยู่ในตัวเขาและเขาก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ ตัวละครที่น่าเห็นใจเหล่านี้มักจะต้องสู้กับสิ่งที่เขาถูกตีตราและไม่มีวันเอาออกไปจากตัวได้ แฮร์รี่เองก็เป็นคนเจ้าอารมณ์ รอนก็ด้วยในบางที แต่นั่นก็เป็นแค่ข้อบกพร่องเล็กๆ ในตัวของทั้งสอง พวกเขาช่วยเติมเต็มให้กันและกัน พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและสุดท้ายก็กลายมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นความงดงามของมวลมนุษย์อย่างแท้จริง
ฉันคิดว่าพวกเดอร์สลีย์คือภาพรวมของการใช้ความเผด็จการและอำนาจนิยม ที่ต้องการให้คุณเชื่อฟังพวกเขาอย่างเดียว ห้ามตั้งคำถาม ซึ่งนั่นไม่ใช่โลกที่คุณต้องการเมื่อไปที่ฮอกวอตส์
JK : ฉันเริ่มกังวลว่าตัวเองกำลังถูกทำให้เป็นบุคคลต้นแบบในอุดมคติ และน่าจะเป็นแม่ตัวอย่างด้วย ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริงมันคงจะซับซ้อนในการค้นหาตัวเอง และโดยเฉพาะสำหรับฉัน มันจะยิ่งซับซ้อนเพราะฉันก็เป็นมนุษย์แม่ - มันไม่ใช่ว่าพวกเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่ในตัวฉันนะ เพราะฉันเองก็มีความสัมพันธ์แบบมนุษย์แม่กับแฟนบางกลุ่ม ที่กำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่แย่ๆ แต่การเป็นบุคคลต้นแบบไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็ยังเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาๆ นี่ล่ะ และฉันคงไม่อาจเขียนหนังสือพวกนี้ออกมาได้ถ้าฉันไม่ใช่คนปกติธรรมดาซึ่งสามารถตระหนักรู้ถึงความเปราะบางและไม่สมบูรณ์แบบของการเป็นมนุษย์
และฉันก็รู้ดีว่าการเป็นบุคคลต้นแบบนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ
Megan : ฉันอยากย้อนกลับไปถึงสุทรพจน์ของคุณที่ฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2008 ณ จุดนั้น ไม่ว่าจะดีหรือแย่อย่างไร ดูเหมือนว่าคุณจะกลายเป็นผู้นำทางศีลธรรมให้กับผู้คนในวันนั้นไปแล้ว คุณบอกพวกเขาว่าพวกเราควรต้องให้ความเห็นอกเห็นใจกับคนที่แตกต่างจากเรา แต่พอถึงตอนนี้ มันยากมากที่จะนึกภาพว่าคุณจะถูกฮาร์วาร์ดต้อนรับอีกครั้งรึเปล่า สิ่งที่ฉันอยากรู้จากคุณคือ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า และคุณเริ่มสังเกตุเห็นมันตั้งแต่เมื่อใด
JK : เป็นเวลากว่าสิบปีมาแล้วที่ฉันเริ่มสนใจโลกออนไลน์อย่างจริงจัง และก็มีความกังวลกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ด้วย ฉันหลงไหลในแพลทฟอร์มของ Tumblr มากๆ - สำหรับใครที่ไม่รู้นะ Tumblr เป็นเหมือนเว็บบล็อกขนาดย่อยและได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มเด็กผู้หญิง - ฉันเริ่มขบคิดกับคำว่า "อัตลักษณ์" ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันได้เห็นว่ามันกำลังเริ่มแพร่หลายในกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ และฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องที่แย่แต่อย่างใด เพราะฉันก็เชื่อว่าพวกเราล้วนมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเอง และอัตลักษณ์ก็มีความสำคัญเพราะมันช่วยเสริมความมั่นใจให้กับพวกเราแต่ละคน
แต่แล้วฉันก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้สิ่งที่ฉันกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ เริ่มรบกวนจิตใจของฉัน
JK : ฉันเริ่มคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพบว่าแพลทฟอร์มวัฒนธรรมย่อยๆ นี้ เริ่มมีการใช้กฏที่เข้มงวดและตายตัว มีการจัดกลุ่มและแบ่งแยกความเชื่อ ความเชื่อแบบนี้จะถูกยอมรับ ความเชื่อแบบนี้จะต้องถูกแบน แล้วทุกอย่างที่ดูสมเหตุสมผล ก็เริ่มลดลงไปเรื่อยๆ - ฉันกังวลมากเพราะสำหรับฉันแล้ว นี่มันคือจุดเริ่มต้นของเผด็จการทางความคิดและการไร้ซึ่งความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น ที่ฉันได้แสดงให้เห็นในหนังสือของฉันทุกเล่ม ว่าสิ่งที่ฉันต่อต้านมากกว่าสิ่งใด นั่นคือความเผด็จการและอำนาจนิยม - และนั่นคือสิ่งที่ฉันเห็นและเริ่มทำให้ฉันกังวลมากขึ้นทุกที
คนที่ทำให้ฉันเริ่มกังวลใจวัฒนธรรมย่อยรูปแบบนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ก็คือ Mio Yiannopoulos* ผู้ยั่วยุและปลุกปั่นจาก alt-right จริงๆ ฉันว่าคุณควรลองไปสัมภาษณ์เขาด้วยก็ดีนะ - ฉันเฝ้าดูเขาปราศัยตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้วก็มีการประท้วง การจราจล และฉันก็คิดว่านั่นเป็นข้อผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ที่แย่มาก และฉันก็พบว่า พวกคุณกำลังให้อำนาจกับชายคนนี้มากเกินกว่าที่เขาสมควรจะได้เพราะเขามีพฤติกรรมแบบนี้น่ะเหรอ มันทำให้ Mio ดูเซ็กซี่และมีเสน่ห์มากกว่าที่เขาเป็นเหรอ ฉันคิดว่ามันดูเป็นการใช้กลยุทธ์ที่น่าเกลียด ขึ้นไปบนเวทีแล้วเผยแพร่ความคิดที่ชวนคลื่นไส้และปลิ้นปล้อนของเขาเอง กระนั้นพวกคุณก็ยังจะหนุนหลังเขาอย่างไม่หยุด และให้อำนาจเขาโดยการเที่ยวปิดปากคนที่ไม่เห็นด้วย
*Mio Yiannopoulos อาจเรียกได้ว่าเป็นเกย์ฝีปากกล้าที่เกลียดเฟมินิสต์อย่างสุดขั้ว เขาใช้ Social Media สารพัดช่องทางในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ในฐานะปัญญาชนผู้เป็นกระบอกเสียงของฝ่ายขวาอเมริกันรุ่นใหม่ เขาเป็นบรรณาธิการอาวุโสของเว็บ Breitbart อันเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของฝ่ายขวาอเมริกันรุ่นใหม่ที่เรียกกันว่า Alt-Right ซึ่งก็ว่ากันว่ากลุ่มการเมืองนี้มีบทบาทสูงมากที่ทำให้ Donald Trump ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
Milo เคยทวิตแซว Leslie Jones นักแสดงหญิงจาก Ghostbusters (2016) ทำนองว่าเธอเป็นผู้ชาย ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้เธอไม่พอใจและโต้ตอบ อย่างไรก็ดีที่ร้ายกว่านั้นคือเหล่าผู้ติดตามของ Milo Yiannopoulos ก็ตามรังควาน Leslie Jones ไม่เลิก ก่อนที่ Leslie Jones จะร้องเรียนไปที่ Jack Dorsey ผู้เป็น CEO ของ Twitter โดยตรง ซึ่งทาง Twitter พิจารณาพฤติกรรมของ Milo Yiannopoulos แล้วตัดสินว่าเขาเป็นผู้นำขบวนการ “เกรียนอินเทอร์เน็ต” ผู้ปลุกระดมความเกลียดชังต่อทั้งคนดำและผู้หญิง Twitter จึงแบนบัญชีเขาอย่างถาวร เลยทำให้ Milo Yiannopoulos น่าจะเป็นคนดังคนแรก ๆ ที่โดน Twittter ยกเลิกบัญชีแบบถาวร ไม่ใช่แค่ลงโทษด้วยการระงับบัญชีชั่วคราว ซึ่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่มากเพราะจากประวัติ Twitter ไม่เคยยกเลิกบัญชีคนดังคนไหนที่ใช้ Twitter “แสดงออกทางการเมือง” เป็นหลักมาก่อน ซึ่งนี่ก็เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของ Twitter เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่หายซ่าและไปเสนอว่า ผู้ใหญ่ควรจะร่วมเพศกับเด็กอายุ 13 ปีที่สมยอมได้ นี่ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นพวกสนับสนุนการร่วมเพศกับเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงมากในโลกตะวันตก และมันก็ทำให้เขาถูกบีบให้ออกจาก Breitbart ในที่สุด และผลรวมของการถูกแบนจาก Twitter และการต้องออกจากงานของเขา ก็ทำให้อิทธิพลของเขาในโลกอินเทอร์เน็ตลดลงมหาศาลจนแทบไม่เหลือแล้วในปัจจุบัน
อ้างอิงจาก : https://rb.gy/gjv1qj
JK : คุณรู้ไหมว่าฉันเคยร่วมเดินขบวนมาก่อนนะ ฉันเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวมวลชนอย่างแน่นอน ฉันเคยร่วมลงนามในข้อเรียกร้องและแสดงออกในช่องทางต่างๆ แต่กับการปราศรัยของนักพูดคนนี้ ฉันคิดว่าพวกเขากำลังเดินไปสู่ทางตัน แม้ว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายหรืออุดมการณ์ที่เหนียวแน่น เพราะสุดท้ายมันก็มักจะจบด้วยการเดินลงจากเวทีพร้อมกับกล่าวว่า "ดูสิ ไม่เห็นมีใครกล้ามาดีเบตกับผมเลย" - ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่อันตรายและน่าหงุดหงิด และฉันไม่คิดว่าพวกเราต้องการให้ alt-right อยู่ในแสง แต่นั่นล่ะกลับเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำ (แม้จะโดยไม่ตั้งใจก็ตาม)
JK : แล้วจากความกังวล ก็เริ่มกลายเป็นความหวาดกลัวจากสิ่งที่ฉันได้เห็น ฉันคิดว่าการเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวพวกนี้ (กลุ่มนักเคลื่อนไหวข้ามเพศ) เริ่มทำให้ฉันหนักใจขึ้นมาจริงๆ จากการที่เห็นพวกเขาแสดงความก้าวร้าวนอกการประชุมของกลุ่มเฟมมินิสต์ มีเสียงกระแทกแดกดัน เตะหน้าต่าง ดูแล้วน่าข่มขวัญอย่างมาก - แล้วแต่ละคนก็สวมหน้ากาก ซึ่งฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ ว่ามันไม่ได้ทำให้คุณดูน่าไว้ใจเลย คนประสาทดีที่ไหนจะสวมไอ้โม่งสีดำ แถมยังไปยืนแสดงพฤติกรรมแบบนั้นอีก - ฉันเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก เพราะสิ่งที่ฉันเฝ้าดูด้วยความกังวลมันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก
... จบ ตอนที่ 3 ...
ถอดบทสัมภาษณ์โดยเว็บไซต์ The Rowling Library
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifan