ท่ามกลางบรรดาจดหมายเปิดผนึกจากวงการวิชาการและศิลปะที่ออกมาวิพากษ์คำตัดสินของศาลสูงสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับสิทธิที่อิงตามเพศกำเนิด (sex-based rights) คงน่าจะคุ้มค่าที่จะทบทวนกันอีกครั้งว่า ไม่มีใครที่มีสติปัญญาปกติจะเชื่อ - หรือเคยเชื่อ - ว่ามนุษย์สามารถเปลี่ยนเพศได้จริง หรือว่าเพศแบบทวิลักษณ์ (binary sex) ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเชิงวัตถุ จดหมายเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเตือนให้เรานึกถึงสิ่งที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การแสร้งทำเป็นเชื่อเรื่องพวกนี้ได้กลายเป็นตราสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมของชนชั้นสูง
ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า บรรดาผู้ที่เซ็นชื่อในจดหมายเหล่านี้ต้องพยายามปิดเสียงมโนธรรมของตัวเองลงไปนึเปล่า ก่อนที่จะออกมาสนับสนุนขบวนการที่มุ่งล้มล้างสิทธิของผู้หญิงและเด็กผู้หญิง กลั่นแกล้งคนรักเพศเดียวกันที่กล้าพูดตรงๆ ว่าไม่อยากมีคู่นอนเพศตรงข้าม และรณรงค์ให้มีการทำหมันกับเด็กและเยาวชนที่เปราะบางหรือมีปัญหาทางใจอย่างต่อเนื่อง พว กเขารู้สึกสักนิดไหม เวลาที่ต้องท่องมนต์โกหกที่เป็นรากฐานของศาสนาของพวกเขาอย่าง ผู้หญิงทรานส์คือผู้หญิง ผู้ชายทรานส์คือผู้ชาย?
ฉันไม่รู้เลย แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือ มันเสียเวลาโดยสิ้นเชิงที่จะไปบอกนักเคลื่อนไหวเรื่องเพศสภาพพวกนี้ว่า สโลแกนโปรดของพวกเขามันคือคำไร้สาระที่ขัดแย้งในตัวเอง การโกหกหลอกลวงต่างหากคือแก่นสำคัญ พวกเขาไม่ได้ท่องมันเพราะมันเป็นความจริง —พวกเขารู้เต็มอกว่าไม่ใช่ความจริง— แต่เพราะพวกเขาเชื่อว่าหากบังคับให้คนอื่นๆ ยอมรับ พวกเขาอาจทำให้มัน “จริงขึ้นมา” ได้ในบางรูปแบบ คำโกหกอันเป็นรากฐานนี้ทำหน้าที่เป็นทั้ง คำสอนและไม้กางเขน ไปพร้อมกัน: เป็นถ้อยคำสำเร็จรูปที่ช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเองว่าทำไมคุณถึงเป็น “คนดีผู้ทรงศีล” และเป็นอาวุธปราบปีศาจที่จะช่วยกำจัดข้อเท็จจริงและเหตุผล แล้วส่งเสริมความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์เทียมและวาทศิลป์หลอกลวง
บางคนอ้างว่าผู้ที่เซ็นชื่อในจดหมายเหล่านี้ทำไปเพราะความกลัว : กลัวอาชีพตัวเองพังแน่ๆ แต่ก็ยังกลัวพวก “สหศรัทธา” ด้วย ซึ่งรวมถึงผู้ชายที่โกรธเกรี้ยวและหลงตัวเองที่ข่มขู่และบางครั้งก็ลงมือใช้ความรุนแรงกับกลุ่มคนที่ไม่เชื่อ; เพื่อนร่วมงานที่พร้อมหักหลังและรายงาน “ความคิดที่ผิด” ตลอดเวลา; กองทัพนักประณามออนไลน์ นักเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว นักขู่ข่มขืน; และบรรดาอีลีตหัวรุนแรงในระดับสูงของวิชาชีพเสรีนิยม (แม้เราจะเถียงได้ว่า พวกนั้นจริงๆ แล้ว “เสรี” ตรงไหน ในเมื่ออำนาจนิยมเผด็จการได้ครอบงำพวกเขาไปหมด) อุดมการณ์เรื่องเพศสภาพนี่เทียบได้กับคาทอลิกยุคกลางในแง่การลงโทษพวกนอกรีต ดังนั้นมันก็สมเหตุสมผลอยู่ใช่ไหม ที่ใครๆ จะก้มหน้าก้มตาแล้วสวด Hail Mulvaneys ของตัวเองไป
แต่ก่อนที่เราจะเผลอไปรู้สึกสงสารพวก “TWAWite” (คนที่ท่องคาถา Trans Women Are Women) ซึ่งอาจแอบเห็นด้วยกับ TERF อยู่ลึกๆ แต่แกล้งทำเป็นเชื่อเพราะกลัว จะขอเตือนว่าอย่าลืมว่าคนกลุ่มนี้จำนวนมากเลือกเองที่จะหยิบหอกและคบเพลิงขึ้นมา ร่วมขบวนไล่ล่าแบบศาลไต่สวนล่าแม่มด (inquisitional purges) ถ้าจะหาว่าฉันขาดความเห็นใจแบบผู้หญิงที่ดีงามก็เอาเถอะ แต่ฉันพบว่าความเสียหายที่พวกเขามีส่วนร่วมสนับสนุน และบางรายถึงกับออกหน้าหรืออัดฉีดเงินทุน—ไม่ว่าจะเป็นการประณามและไล่ล่าผู้หญิงที่เปราะบาง, การทำให้ใครบางคนต้องสูญเสียอาชีพ, หรือการปล่อยให้เกิดการทดลองการแพทย์ที่ไร้การควบคุมกับผู้เยาว์—ทั้งหมดนั้นทำให้น้ำตาฉันเหือดแห้งไปตั้งแต่ต้นทางแล้ว
ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของความเชื่อที่ไร้เหตุผลและเป็นพิษ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยดูเหมือนแข็งแกร่งไม่มีวันโค่นล้ม ตามที่ออร์เวลเคยกล่าวไว้: “บางความคิดมันโง่ขนาดที่มีแต่ปัญญาชนเท่านั้นแหละที่เชื่อมันได้” อุดมการณ์เพศสภาพอาจฝังรากลึกอยู่ในสถาบันต่างๆ ของเรา ถูกบังคับจากบนลงล่างกับคนที่ถูกตราว่า “ล้าหลัง” แต่ใช่ว่าจะทำลายไม่ได้
การแพ้คดีในศาลกำลังพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ความเย่อหยิ่ง การใช้อำนาจเกินขอบเขต และความก้าวร้าวของนักเคลื่อนไหวเรื่องเพศสภาพ กำลังทำให้การสนับสนุนจากสาธารณชนสึกกร่อนทุกวัน ผู้หญิงกำลังลุกขึ้นสู้และเริ่มชนะชัยชนะครั้งสำคัญ องค์กรกีฬาต่างๆ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นและยอมรับความจริงอีกครั้งว่าผู้ชายโดยทั่วไปมีรูปร่างใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และวิ่งเร็วกว่าผู้หญิง บางส่วนของแวดวงการแพทย์ก็เริ่มตั้งคำถามแล้วว่า การผ่าตัดตัดเต้านมออกจากเด็กสาววัยรุ่นที่ร่างกายแข็งแรงนั้น มันใช่วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาสุขภาพจิตจริงหรือ
แค่โกหกเล็กๆ ดูเหมือนไม่มีพิษภัย—ผู้หญิงทรานส์คือผู้หญิง ผู้ชายทรานส์คือผู้ชาย—ที่คนส่วนใหญ่ท่องโดยไม่ทันคิดอะไร แล้วเพียงไม่กี่ปีต่อมา คนที่เชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ทรงคุณธรรมสูงสุดก็นั่งพิมพ์ประโยคอย่าง “ใช่ ฉันจะยอมตายบนเนินเพื่อปกป้องสิทธิของข่มขืนคนนั้นที่จะใช้สรรพนามที่เขาต้องการ” พร้อมๆ กับการยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกที่เรียกร้องให้แขวนคอและตัดหัวผู้หญิง เพียงเพราะผู้หญิงเหล่านั้นอยากได้ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่อข่มขืนที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น และพวกเขาก็ยังคงปฏิเสธหลักฐานที่ชัดเจนและกองพะเนินที่บอกว่านี่คือ เรื่องอื้อฉาวทางการแพทย์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
ฉันสงสัยว่าพวกเขาเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และฉันก็สงสัยด้วยว่าพวกเขาจะรู้สึกละอายบ้างไหม…สักวันหนึ่ง
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifan