*** ถอดความเฉพาะส่วนที่สัมภาษณ์ J.K Rowling ***
Megan Phelps-Roper กลับไปสก็อตแลนด์เพื่อสัมภาษณ์ เจ.เค.โรว์ลิง อีกครั้ง
หลังได้สัมภาษณ์นาตาลี (หญิงข้ามเพศ) และโนอาห์ (ชายข้ามเพศ)
Megan : นักวิจารณ์คนหนึ่งของคุณคือหญิงข้ามเพศ ชื่อ นาตาลี ไวนน์ เธอใช้ชื่อ Contrapoints บน YouTube เธออัดคลิปร่ายยาว วิจารณ์มุมมองของคุณเกี่ยวกับประเด็นของคนข้ามเพศ หนึ่งในประเด็นนั้นคือ เธอมองว่าความเกลียดชังแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ความเกลียดชังทางตรงและความเกลียดชังทางอ้อม ความเกลียดชังทางตรง ก็คือสิ่งที่ครอบครัวของฉันทำ การพูดจาดูถูกถากถางแบบเปิดเผยและใช้คำสบถใส่ร้ายกลุ่มคนที่แตกต่างอย่างโจ่งแจ้ง
ส่วนความเกลียดชังทางอ้อม คือการแกล้งทำเป็นตั้งคำถาม แสร้งว่าวิตกกังวล บอกว่าต้องมีการดีเบต พวกนักเคลื่อนไหวทำเกินกว่าเหตุ แนวคิดแบบนี้ไม่ชอบธรรม ต้องบอยคอต อีกนัยหนึ่งหนึ่งคือ เธอมองว่าเป็นการปกปิดหรือซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ภายใต้เหตุผลเหล่านี้ และคนเหล่านี้เป็นนักแสดงที่ยอดแย่ที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของคนดีมีคุณธรรม เลี่ยงที่จะพูดถึงปัญหาตรงๆ แต่ขณะเดียวกันก็บ่อนทำลายสิทธิของฝั่งตรงข้ามไปในตัว
JK : ฉันเห็นอะไรแบบนี้อยู่เรื่อยๆ เลยล่ะ ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดคือ “พวกเขาก็แค่แกล้งทำเป็นห่วงเด็กๆ ทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับพวกเด็กๆ เลย ความจริงคือพวกเขาเกลียดคนข้ามเพศต่างหาก” - หากคุณกำลังจะบอกว่าความเกลียดชังทางอ้อม คือการตั้งคำถามกับสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นอันตรายและกำลังเกิดขึ้นจริง ถ้าคุณกำลังจะบอกว่าความเกลียดชังทางอ้อม คือการยืนหยัดเพื่อสิทธิสตรี มันก็แน่อยู่แล้วที่คุณจะโดนแปะป้ายว่าเป็นฆาตกรทันที
ฉันคิดว่ามันเป็นการโต้แย้งที่ไร้เหตุผลมากๆ ที่จะมากล่าวหาใครก็ตาม ที่ลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่ากำลังแสดงความเกลียดชังออกมาทางอ้อม เพราะในมุมมองของฉันมันเป็นทัศนคติที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
Megan : คุณบอกว่าคุณเคารพคนข้ามเพศ คุณบอกว่าคุณจะร่วมเดินขบวนกับพวกเขา คุณคิดว่ากระบวนการข้ามเพศนั้นถูกต้องสำหรับบางคน แต่คุณยังบอกด้วยว่ามีความแตกต่างอย่างแท้จริงระหว่างผู้หญิงโดยกำเนิดและผู้หญิงข้ามเพศ ซึ่งเป็นความแตกต่างอย่างมาก โดยเฉพาะด้านประสบการณ์การเป็นผู้หญิงโดยกำเนิด และนักวิจารณ์ของคุณบางคนชี้มาที่ประเด็นนี้และบอกว่า "คุณกำลังทำให้ผู้หญิงข้ามเพศเป็นประชากรผู้หญิงชั้นสอง"
ประมาณว่า "คุณเกือบจะเป็นผู้หญิง ที่พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง" ง่ายๆ ก็คือคุณบอกว่า “ฉันจะปฏิบัติต่อคุณในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง คุณเป็นผู้หญิงที่มีเกียรติ” แต่ความแตกต่างที่คุณเน้นย้ำนี้ ความแตกต่างทางชีววิทยาที่คุณเห็นว่ามีความสำคัญมาก อาจทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวด ราวกับว่าพวกเขาเกือบจะเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังไม่เชิง เหมือนมีอะไรบางอย่างถูกรั้งไว้ คุณเข้าใจความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาได้หรือไม่?
JK : ถ้าตอบสั้นๆ ก็คือ ใช่ ใช่ ฉันเข้าใจความเจ็บปวดของคนข้ามเพศ แต่ประเด็นก็คือ - ในมุมมองของฉันนะ - ผู้หญิงเป็นคนกลุ่มเดียวที่ถูกขอให้ยอมรับกลุ่มคนที่ถูกกดขี่เหล่านี้เข้ากลุ่ม โดยห้ามตั้งคำถามและห้ามมีข้อแม้ คราวนี้พอเป็นเรื่องปัจเจกขึ้นมา - คนในรุ่นเดียวกันกับฉัน ถ้าพูดถึงผู้หญิงข้ามเพศในวัยเรียน พวกเราจะเข้าใจตรงกันว่า หมายถึงคนที่ผ่านการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วสมบูรณ์เท่านั้น นั่นต่างหากจึงจะเป็นการระบุเพศให้ตนเองใหม่ได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องผ่านกระบวนการพิจารณามาแล้วว่าเคยประสบภาวะความทุกข์ทรมานใจที่เกิดจากความไม่เข้ากันระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศและเพศกำเนิด (gender dysphoria) อย่างแท้จริง
และฉันรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนเหล่านี้ 100% ฉันเคารพแม้กระทั่งการใช้สรรพนามเรียกแทนตัวของพวกเธอ และอย่างที่เคยได้พูดไป ฉันต้องการให้พวกเธอมีชีวิตที่สะดวกสบาย เรียบง่ายและปลอดภัย
แต่การเคลื่อนไหวเรียกที่ร้องกันอยู่นี้ กำลังผลักดันในสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างมาก พวกเขาโต้แย้งและยังคงแย้งจนถึงบัดนี้ว่า "ผู้ชายที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง ประตูห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและศูนย์พักพิงดูแลผู้ถูกข่มขืนที่สงวนไว้ให้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ก็ควรต้องเปิดรับให้พวกเขาด้วย"
ฉันขอยืนกรานเลยว่า เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้ และฉันรู้สึกว่า เรากำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่กำลังมีการจัดลำดับความสำคัญของความเจ็บปวดจากคนบางกลุ่มให้อยู่เหนือกว่าความสุ่มเสี่ยงในชีวิตของผู้หญิง ซึ่งเป็นเพศที่ถูกกดทับและถูกทำร้ายมาอย่างต่อเนื่อง ฉันคิดว่ามันน่าคิดเหมือนกันนะว่า ทำไมความเจ็บปวดของคนกลุ่มหนึ่งมักจะถูกจัดลำดับให้สำคัญน้อยกว่าความเจ็บปวดจากคนกลุ่มอื่นๆ อยู่เสมอ
Megan : ใช่เลย บางทีวิธีการที่ง่ายกว่าในการตั้งถามก็คือ คุณมีความคิดที่จะเคารพความเจ็บปวดของทั้งสองกลุ่มไปพร้อมกันได้ไหม แม้ว่าในบางจุด เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีช่วงเวลาที่ต้องเลือกสักข้างหนึ่ง
JK : ฉันเชื่อว่ามันมีหนทางข้างหน้าที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงจะรักษาสิทธิที่มีอยู่ และคนข้ามเพศก็ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม มันมีอยู่สักทางนั่นล่ะ วิธีที่จะยอมรับทั้งสองประเด็นไปพร้อมกันได้ - แต่ฉันคิดว่า ณ ตอนนี้ เราอยู่ในจุดที่ยากจะบรรลุความต้องการของทั้งสองฝั่งได้
และฉันจะบอกว่าพวกเฟมินิสต์พยายามอย่างมากที่จะอภิปรายเรื่องนี้ เราจะรับรองสิทธิและความปลอดภัยของทุกคนได้อย่างไร? ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน? อย่างเช่น เรื่องการแข่งขันกีฬา เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนมากในตอนนี้ - พวกเราเฟมินิสต์กำลังขอพื้นที่บางอย่าง โดยเฉพาะศูนย์พักพิงผู้ถูกข่มขืน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากในการสงวนพื้นที่ไว้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น หรือควรมีข้อกำหนดแยกต่างหากสำหรับคนทั้งสองกลุ่ม
เฟมินิสต์ที่ฉันรู้จัก ไม่มีเลยสักคนนะที่ไม่ยอมรับคนข้ามเพศ - ซึ่งสามารถเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศเหมือนกับพวกเรา - แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีมุมมองที่เป็นแค่ขาวและดำ เลยทำให้ทางออกในการโต้เถียงนี้ยังคงมืดมนอยู่ต่อไป
Megan : เมื่อพูดถึงคำถามเกี่ยวกับห้องน้ำ หลายคนกล่าวว่าในมุมมองทั่วไปของพวกเขา ความเสี่ยงที่คุณอ้างนั้นดูไม่เยอะเท่าไร หลายคนเห็นด้วยและเข้าใจว่าทำไมผู้ชายและผู้หญิงไม่ควรถูกขังอยู่ในเรือนจำเดียวกัน แต่เมื่อพูดถึงห้องน้ำ - ซึ่งไม่มียามเฝ้าประตูและไม่ได้มีใครมาตรวจร่างกายก่อนที่เราจะเข้าไป - พวกเขามองว่ามันจะมีคนที่ตีเนียนแล้วเข้าไปก่อเรื่องได้จริงๆ เหรอ
JK : ฉันไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยในเรื่องนี้ - มันมีข้อห้ามทางสังคม - ซึ่งเคยมี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ - ถ้าหากสามีของฉันตัดสินใจว่าเขาต้องการเข้าไปใช้ห้องน้ำหญิง ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นมีสิทธิเต็มที่จะตั้งคำถามถึงการปรากฏตัวของเขาในพื้นที่ของพวกเธอ และในมุมมองของฉัน ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ดี ก็ต้องมองดูผู้ชายคนที่กำลังเดินเข้าห้องน้ำหญิงด้วยความประหลาดใจและตั้งคำถามเหมือนกัน - พื้นที่ของผู้หญิงกำลังถูกรุกราน เรามีมีสถิติเกี่ยวกับเรื่องนี้ The Sunday Times เคยเผยแพร่ข้อมูลจากรัฐบาลว่า 88% ของการข่มขืนเกิดขึ้นในพื้นที่สำหรับทั้งสองเพศ (unisex)
เรามีเคสตัวอย่างเกิดขึ้นมากมายในประเทศนี้และในอเมริกา ฉันเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันเกิดขึ้นจริงเหรอ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ การแอบดู การล่วงละเมิดทางเพศ - แล้วพวกผู้ชายยังมาแย้งฉันอีกว่า "นี่ไม่ใช่ความเสี่ยง พวกเธอตื่นตระหนกกันไปเอง" ถามจริงๆ เลยนะว่าพวกคุณไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่า? รู้อะไรกันบ้างไหม ว่าเพื่อนมนุษย์ชายของคุณทำอะไรลงไปบ้าง ?
Megan : ผู้วิจารณ์จำนวนมากที่กล่าวว่า คุณและความคิดเห็นของคุณกำลังเพิ่มความชอบธรรมให้กับฝ่ายขวา
JK : คำตอบของฉันคือ พวกคุณต่างหากที่กำลังเติมเชื้อไฟให้กับฝั่งขวา นี่เป็นอีกเหตุผลเช่นว่าทำไมเฟมินิสต์ฝ่ายซ้ายหลายคน (อย่างฉัน) จึงนั่งกุมศีรษะกันอยู่ทุกวันนี้ ฝ่ายขวารอเวลานี้มาหลายปีแล้ว - ถึงจะไม่ใช่ฝ่ายขวาทั้งหมดก็ตาม - แต่ที่แน่ๆ คือพวกฝ่ายขวาคลั่งศาสนา ที่ต้องการจะทุบขบวนการของกลุ่มเลสเบี้ยน เกย์ และไบเซ็กชวล ซึ่งตอนนี้กำลังถูกกัดเซาะและค่อยๆ หมดความชอบธรรมลงอย่างเป็นวงกว้างจากแนวคิดที่มาจากฝั่งซ้ายด้วยกัน - เมื่อคุณกำลังปกป้องพวกนักล่าข่มขืนให้ส่งเข้าไปขังรวมกับผู้หญิง คุณกำลังมอบความชอบธรรม ให้ฝ่ายขวาเอาไปอ้างว่า "เราเคยบอกคุณแล้วว่าความเสื่อมทรามทางศีลธรรมจะเกิดขึ้น เมื่อคุณยอมรับพวกรักร่วมเพศ" และฝ่ายซ้ายจำนวนมาก - โดยเฉพาะเฟมินิสต์หลายคน - ยิ่งสิ้นหวังกับข้อเท็จจริงที่ว่า มีการแทรกซึมของขบวนการเกลียดชังผู้หญิงอยู่ในการเคลื่อนไหวฝั่งซ้าย ซึ่งนั่นยิ่งเป็นประโยชน์ให้กับนักการเมืองฝ่ายขวามากขึ้นไปอีก
ความกังวลที่สุดของฉันคือ ไม่เพียงแค่ฝ่ายขวากำลังได้รับความชอบธรรม แต่การที่ฝ่ายซ้ายเริ่มใช้ความเผด็จการ ล่าแม่มดและกำจัดคนที่คิดต่างมากขึ้นเรื่อยๆ ก็กำลังผลักดันให้ผู้คนจำนวนมากให้หันไปทางขวาแทน - และนั่นคือสิ่งที่ฉันกลัว โดยเฉพาะกับคนวัยหนุ่มสาว เมื่อพวกเขาถูกรุมด่าทอว่า สิ่งที่คุณคิดตอนนี้มันไม่เหมาะกับโลกปัจจุบัน ดังนั้นคุณไม่สิทธิ์จะออกเสียง เพราะทุกอย่างที่คุณพูดออกมาเป็นสิ่งที่ขัดกับสังคม - มันเลยยิ่งเข้าทางอีกฝั่งไง มนุษย์เราเมื่อถูกปฏิเสธจากฝั่งที่เราเคยคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน เราก็มักจะมองหาหนทางใหม่ ทางที่พร้อมจะโอบกอดต้อนรับพวกเรา ต่อให้ทางนั้นจะเต็มไปด้วยความคิดที่ toxic มากก็ตาม - คุณจะหลงเข้าไปอีกทางหนึ่งแทน โดยเฉพาะเมื่อคุณยังเป็นเด็กมาก
ดังนั้นฉันคิดว่าฝ่ายซ้ายกำลังทำพลาดอย่างมหันต์ที่สนับสนุนและใช้พฤติกรรมการล่าแม่มดแบบนี้ ซึ่งไม่ต่างกับที่ฝั่งที่คลั่งศาสนาทำ เอะอะก็ล่าแม่มดกันอย่างเดียว หลายคนที่ถูกล่าไม่ได้จิตใจเข้มแข็ง พวกเขารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม บ้างก็อาจจะรู้สึกละอายใจจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิด พอเป็นแบบนั้นแล้วพวกเขาหันหน้าไปทางไหนล่ะ อีกฝั่งหนึ่งใช่ไหม - นั่นล่ะที่ทำให้ฉันกังวลใจอย่างมาก
ฉันยังคงนิยามตัวเองว่าเป็นพวกฝั่งซ้ายนะ และฉันเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ฉันเกิดในยุค 60 ช่วงเวลาที่การลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองถูกมองว่าเป็นฝั่งซ้าย ไปจนถึงการท้าทายความชอบธรรมเดิม ทำเรื่องตลกดาร์กๆ หรือ ทำลายรูปแบบความอนุรักษ์นิยมของสังคม ฉันได้เห็นฝ่ายซ้ายกำลังก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ และได้เห็นว่าตอนนี้กลับเป็นฝั่งซ้ายเสียเองที่กำลังทำเหมือนกับสิ่งที่เราเคยต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้
Megan : คุณเขียนหนังสือหลายเล่มที่เด็กๆ มีอิสระในตัวเองและมีตัดสินใจแบบผู้ใหญ่ และบางเล่มพวกเขาก็เข้าไปความเสี่ยงอันตราย เช่นการแอบเข้าไปในคุกใต้ดินหรือวิ่งไปต่อสู้กับพ่อมดที่ทรงพลังที่สุด ดังนั้นนักวิจารณ์ของคุณบางคนเลยสงสัยว่า มันดูย้อนแย้งที่คุณบอกว่าคนหนุ่มสาวยังไม่โตพอที่จะตัดสินใจได้เองว่าควรจะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศดีหรือไม่
JK : ก็นั่นมันคือหนังสือแฟนตาซี และหัวใจหลักของมันคือการอนุญาตให้เราได้เข้าไปสำรวจจินตนาการ ไปจนถึงสิ่งที่เราหวาดกลัวและความอยากท้าทาย เสมือนเราได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในโลกที่มีแต่ความน่าตื่นเต้น ซึ่งพอเราปิดหนังสือแล้ว เราก็กลับมาสู่โลกความจริง แล้วมานั่งคิดทบทวนในสิ่งที่เพิ่งได้อ่านไป หรืออาจคิดสะท้อนกลับอีกมุมหนึ่งว่าการตัดสินใจของตัวละครต่างๆ นั้นหมายความว่าอย่างไรบ้าง
ซึ่งนั่นมันตรงข้ามกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ ในโลกความเป็นจริงใบนี้ เรากำลังต้องรับมือกับเด็กๆ ที่ถูกโน้มน้าวหรือชักจูงว่าทางออกสำหรับความทุกข์ที่หนูกำลังเผชิญอยู่นี้ คือการรักษาทางการแพทย์ที่จะต้องได้รับการดูแลไปตลอดชีวิต นี่มันอันตรายมาก เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ว่าปิดหนังสือแล้วทุกอย่างจะหายวับไป นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่การทดลอง และ ไม่มีอะไรมากันตีว่าจะมันจะปลอดภัย
บางคนอาจพูดว่า แต่สิ่งนี้อาจเป็นคำตอบสำหรับบางคนก็ได้นี่นา ใช่ ฉันไม่เถียง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาจาก gender dysphoria จริงๆ และไม่มีหนทางอื่นแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศจึงอาจเป็นคำตอบสำหรับพวกเขา ฉันอยากเห็นคนเหล่านี้ได้รับการคุ้มครอง ฉันพร้อมจะช่วยปกป้องสิทธิของพวกเขา ฉันอยากให้พวกเขามีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและสมหวัง แต่เมื่อเรากำลังพูดถึงพวกเด็กๆ ฉันว่ามันเป็นคนละคำถาม ซึ่งแตกต่างกันมาก
Megan : ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ ข้อคิด ปรัชญาและบทความทางวิชาการมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และฉันทราบว่าสิ่งที่ทำให้การผ่าตัดแปลงเพศในผู้เยาว์กำลังเป็นที่ถกเถียง เพราะว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ มีการศึกษาวิจัยที่ยังไม่น่าเชื่อถือมากพอและข้อมูลที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝั่งตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อให้ข้อโต้แย้งของฝากตนมีความชอบธรรม ข้อพิสูจน์อะไรที่คุณเห็นและคิดว่าเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณคิดว่าตนเองถูกแล้วที่แสดงความกังวลในเรื่องนี้
JK : ฉันยังไม่พบการวิจัยที่บอกว่าเด็กและคนวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่ประสบกับภาวะ gender dyshoria ทุกคนควรต้องใช้การแปลงเพศเป็นทางออกตั้งแต่แรกน่ะสิ ข้อมูลที่ฉันพบ คือ เด็กส่วนใหญ่ที่เคยประสบกับภาวะนี้ หากผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้ว อาการมักจะหายไปเอง บางส่วนจะกลายเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน (กลุ่มคนรักร่วมเพศ) แต่ถ้าภาวะนี้ยังไม่หาย การผ่าตัดแปลงเพศนั่นล่ะ จึงจะเป็นทางออก
ถ้าทั้งหมดนี่คือข้อมูลความจริงที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วทำไมเราถึงยังจะผลักให้พวกเด็กๆ ให้เดินไปยังเส้นทางที่ยังไม่มีความแน่นอนนี้อยู่อีก เราว่ากันตามวิทยาศาสตร์ไม่ได้เหรอ จริงอยู่ที่กำลังมีการผลักดันขับเคลื่อนเรื่องนี้ แต่การผลักดันมันสมเหตุสมผลในทุกเรื่องไหม ฉันคิดจริงๆ นะว่าเรากำลังเฝ้าดูความอื้อฉาวทางการแพทย์ที่เลวร้ายที่สุดในรอบศตวรรษอยู่หรือเปล่า และคนที่ควรจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุดคือพวกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งบางคนออกหน้าสนับสนุนเรื่องนี้โดยไม่มีการตั้งข้อกังขาใดๆ เลย แถมยังช่วยสร้างบรรยากาศให้ผู้คนจำนวนมากที่กำลังยกธงแดงขึ้นตั้งคำถามต้องถูกขมขู่และสั่งให้หุบปาก
และฉันอยากจะถามผู้สนับสนุนอุดมการณ์อัตลักษณ์ทางเพศที่หัวดื้อเหล่านี้ - ผู้ซึ่งแน่วแน่ว่าจะไม่เข้ามาร่วมดีเบต - ว่า ไม่คิดบ้างเหรอว่าพวกคุณกำลังเดินไปผิดทาง
ถ้าฉันคิดผิดบ้างล่ะ ตามตรงเลยนะ ฮาเลลูยา! ถ้าฉันผิดจริง ก็ดี เพราะไม่มีใครถูกทำร้ายนี่ แต่ถ้าพวกคุณคิดผิดนั่นล่ะ พวกคุณผู้ซึ่งได้สร้างบรรยากาศแห่งการขมขู่และคุกคาม กับทุกคนที่ตั้งคำถามและแสดงความเป็นห่วงออกมา - ฉันจำได้ว่าในปี 2018 ศาสตราจารย์ Carl Heneghan ประจำศูนย์เวชศาสตร์แห่งออกฟอร์ด เขากล่าวต่อสาธารณเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการแปลงเพศในเด็กว่า "เรากำลังดูการถ่ายทอดสดการทดลองที่ไร้การควบคุมในเด็กเยาวชน" แน่นอนว่าเขาถูกประนามทันทีว่าเป็นทรานส์โฟบ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะจากสมาคม LGBT ของออกฟอร์ดนั่นล่ะ
Megan : เมื่อสักครู่ที่คุณบอกว่า ต่อให้คุณผิดจริงก็ไม่มีใครถูกทำร้าย คุณเชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า เพราะความเห็นของคุณอาจกำลังทำร้ายผู้คนได้เหมือนกัน จากคำพูดและความคิดของคุณที่ถูกเอาไปเป็นแรงส่งเสริมนะ
JK : อันที่จริง ฉันก็ได้รับอีเมลทันทีหลังจากที่ได้พูดออกไป เป็นผู้ชายฝั่งซ้ายที่ฉันรู้จัก เขาส่งอีเมลมาหาฉัน และบอกว่า ชายข้ามเพศคนหนึ่งถูกฆ่าตายในเยอรมนี และเขาบอกกับฉันว่า สิ่งที่ฉันพูดออกไปนั้นเป็นแรงผลักให้ตำรวจไม่กระตือรือร้นที่จะช่วยการสืบสวนอาชญากรรมครั้งนั้น ฉันขอรวบยอดเลยละกันนะว่านี่มันข้อกล่าวหาที่เกินความจริงทั้งนั้น ซึ่งจะถูกโยนใส่ใครก็ตามที่กล้าลุกขึ้นมาท้าทายอุดมการณ์เหล่านี้ "คำพูดของคุณทำให้มีคนฆ่าตัวตาย คำพูดของคุณจะทำให้ตำรวจหยุดการสืบคดี คำพูดของคุณจะทำให้ผู้ชายใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงข้ามเพศ" การกล่าวโทษผู้หญิงว่าเป็นต้นเหตุของความรุนแรงในผู้ชายเนี่ยนะ คนหัวก้าวหน้าจริงๆ เขาไม่คิดกันหรอก นอกจากพวกเกลียดชังผู้หญิงเท่านั้นล่ะ
Megan : ย้อนกลับไปที่ข้อกังวลของคุณ ที่บอกว่าตอนนี้ฝั่งซ้ายกำลังช่วยป้อนฟันเฟืองที่อาจช่วยขับเคลื่อนฝั่งขวาสุดโต่ง และเริ่มมีการสูญเสียความเชื่อมั่นจากสถาบันสาธารณะต่างๆ อย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าจากประสบการณ์ของคุณ ก็กำลังทำให้คุณเองเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของสถาบันบางแห่งของเราในช่วงเวลานี้ด้วย
JK : จริงแท้แน่นอน และเราเห็นการเล่นแบบนี้มาตลอดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา การบั่นทอนและลดความหน้าเชื่อถือของผู้เชี่ยวชาญ เช่น พวกเขาไว้ใจไม่ได้ สื่อก็ไว้ใจไม่ได้ รัฐบาลไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ - และฉันเองก็คงจะโกหกถ้าไม่บอกว่าฉันเองก็หมดศรัทธาในสถาบันบางแห่ง เห็นได้ชัดที่สุดคืออุตสาหกรรมธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ - ซึ่งฉันตกใจกับจุดยืนของสื่อหลายๆ สำนักในทุกวันนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ สถาบันการศึกษา ฉันเห็นว่าพวกเขากำลังปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก ซึ่งฉันเห็นคุณค่าของมันมาก ถ้าสถาบันการศึกษาในทุกวันนี้ไม่สามารถปกป้องสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ฉันเกรงว่าสังคมที่พวกเราอาศัยอยู่กันทุกคนในตอนนี้ จะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ๆ ในภายภาคหน้าแน่นอน
Megan : ข้อกังวลข้อหนึ่งที่คุณออกมาพูดถึง คือ เรื่องคำจากหน่วยงานต่างๆ ที่เลี่ยงบาลีไปใช้คำอย่างเช่น ผู้ที่สามารถให้กำเนิดได้ ผู้ที่มีปากมดลูกหรือผู้ที่มีประจำเดือน และนักวิจารณ์บางคนของคุณก็มองว่าไม่เห็นมันน่าจะเป็นปัญหาอะไร พวกเขามองว่าเป็นเพียงการทำให้ภาษามีความครอบคลุมและรัดกุมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มของพวกสื่อสารมวลชน ที่ได้ผลิตสื่ออย่างคู่มือสมัยใหม่เพื่อหาคำที่อธิบายที่ครอบคลุมไปถึงคนข้ามเพศ วลีอย่างเช่น คำว่าผู้หญิงมีความหมายมากกว่าการเป็นเพศหญิง คุณระแวงกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นปัญหาสำหรับคุณ
JK : นั่นจาก Associated Press สื่อที่ทรงพลังสินะ พวกเขาเปลี่ยนนิยามของคำว่าผู้หญิง และทำให้เพศชายสามารถระบุตัวเองว่าเป็นผู้หญิงได้ ซึ่งฉันคิดว่าเราทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่า "เป็นผู้หญิง" ดีกันอยู่แล้ว นั่นล่ะ คือการรุกล้ำที่ฉันกำลังหมายถึง ซึ่งพอเรากำลังใช้ภาษาเพื่อจะให้คำจำกัดความที่ถูกต้อง แต่นั่นก็กลับทำให้ความแตกต่างระหว่างเพศเริ่มคลุมเครือเหมือนกัน
ตอนที่ฉันอ่านข่าวหนึ่งซึ่งรายงานว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งถูกจับเพราะเธอเปิดเผยองคชาติออกมาบนถนน” ตอนนั้นฉันนั่งหัวเราะ แต่พอตอนนี้ฉันพบว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด เมื่อฉันเห็นอีกข่าวหนึ่งที่รายงานว่า "ผู้ที่ระบุตัวเองว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับ เพราะล่อลวงข่มขืนเด็กผู้ชาย" - ทั้งสองข่าวนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเลยนะ
ฉันเห็นว่ามันเป็นแค่อุดมการณ์หรือภาษาทางการเมือง ฉันไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เฟมินิสต์กลุ่มหนึ่งถึงกับต้องออกประนามว่า "นี่ไม่ใช่อาชญากรรมของพวกเรา เพราะมันไม่ได้ก่อขึ้นโดยผู้หญิง"
และฉันขอพูดอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย - ฉันว่าคุณอาจจะตกใจจนไม่อยากเชื่อ ถ้าคุณลองวิเคราะห์ดูแล้วจะพบว่าความรุนแรงทางเพศหรือความรุนแรงที่กระทำโดยเพศชายนั้นเกิดขึ้นมากถึง 98 - 99% และผู้หญิงเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศถึง 88% ถ้าเกิดมีนิยามใหม่นี้เกิดขึ้มาแล้ว ต่อไปนี้เราจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ให้ถูกต้องเที่ยงตรงได้อย่างไร? ต่อไปนี้เราต้องมานั่งปวดหัวกันอีกเหรอว่าใครคือผู้ล่าใครคือเหยื่อ
Megan : แปลว่าสิ่งที่คุณกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องการใช้คำระบุเพศที่กำกวม มันจะส่งผลต่อเรื่องการเกิดอาชญากรรมทางเพศ ที่ต่อไปนี้ความจริงจะถูกปิดบัง ซึ่งเป็นความจริงทางชีววิทยาที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้
JK : ถูกต้อง
Megan : สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์ของคุณมักพูดคือ "ฉันหวังว่าเธอจะฟังเราบ้าง ทำไมเธอไม่ฟังเราเลย”
JK : เพราะพวกเขาคิดว่าไม่มีใครกล้าที่จะไม่เห็นด้วยกับพวกเขามาก่อนน่ะสิ ถ้าพวกเขาลองคิดว่าตนเองได้พูดอะไรออกไปบ้างน่ะนะ และฉันเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าสิ่งที่ฉันได้ฟัง ได้อ่าน ได้เรียนรู้ ได้ศึกษาทฏษฎีต่างๆ ไปจนถึงมุมมองทัศนคติส่วนตัวของฉันเอง ฉันกล้าพูดอย่างเต็มปากว่าฉันไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็กลับมองว่าฉันเพิ่งสบถคำสาปแช่งออกมา
Megan : คือคุณกำลังจะบอกว่าพวกเขาจะคิดว่าคุณรับฟัง เมื่อคุณบอกว่าเห็นด้วยกับพวกเขา
JK : ฉันเกรงว่าน่าจะเป็นแบบนั้นล่ะ
Megan : อีกคำถามหนึ่งที่พบบ่อยที่สุด และแทบจะเป็นคำวิงวอนขอร้องก็คือ "ทำไม ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ ทำไมคุณถึงไม่ปล่อยให้ผู้คนเป็นตัวของตัวเองและช่วยสนับสนุนพวกเขาในแบบที่คุณทำกับตัวละครชายขอบในหนังสือของคุณ" ถ้าคนเหล่านั้นกำลังฟังคุณอยู่ คุณจะพูดกับพวกเขาอย่างไร? คุณจะพูดอะไรกับพวกเขา คุณช่วยพูดกับพวกเขาได้ไหม
JK : ฉันจะบอกกับพวกเขาว่า คุณในฐานะมนุษย์ ตัวตนของพวกคุณทุกคน ฉันเคารพอย่างที่สุด ฉันต้องการให้คุณได้รับการปกป้อง ฉันต้องการให้คุณปลอดภัย ฉันจะปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพเสมอ และฉันกังวลว่าตัวของคุณเองตอนนี้ อาจจมอยู่กับสิ่งที่เป็นอันตรายต่อคุณอยู่มากที่สุด
ที่ฉันตั้งคำถามในบางเรื่อง เพราะฉันคิดว่าคนกลุ่มเปราะบางเหล่านี้กำลังถูกทำร้ายทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมไปถึงกลุ่มชาวเกย์ ผู้หญิง รวมถึงเยาวชนที่เปราะบาง ตอนนี้ ถ้าคุณระบุตนเองว่าเป็นคนข้ามเพศ - หมายถึงเป็นคนข้ามเพศจริงๆ - ฉันก็พร้อมจะอยู่ข้างคุณ 100% แต่หลักฐานที่เรากำลังเห็นเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวันนี้ มันชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่สำหรับทุกคน และนั่นเป็นเพราะเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม ที่เมื่อเรามองย้อนกลับมา จะไม่ได้เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ แต่เต็มไปด้วยความงงงวย ที่เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นจริง
Megan : ฉันรู้สึกสนใจมากกับคำถามที่ต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มันทำให้ฉันนึกถึงฉากหนึ่ง จากหนังสือเล่มหนึ่งของคุณ ซึ่งก็คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟินิกซ์ ตอนที่เฮอร์ไมโอนี่ ฮีโร่ของพวกเรา กับศาสตราจารย์อัมบริดจ์ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผิดเต็ม ได้มีการประลองความคิดกันในชั้นเรียน เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างท้าทายว่าเธอไม่เห็นด้วยกับบางสิ่งในหนังสือเรียนของเธอ และอัมบริดจ์ก็ตำหนิเธอราวกับกำลังจะบอกว่า เธอเป็นใครกันเหรอ ถึงกล้าที่จะไม่เห็นด้วยกับผู้เชี่ยวชาญที่เขียนตำรานี้ และก็สั่งลงโทษเธอ สำหรับใครก็ตามที่ได้อ่านตอนนี้ มันจะพบว่าน่าหงุดหงิดและไม่ยุติธรรมเอามากๆ แต่ฉันก็กล้าที่จะพูดว่า ไม่มีคนอ่านคนไหนคิดว่าตัวเองคืออัมบริดจ์
JK : ไม่มีใครคิดอย่างนั้น! ใช่ ไม่มีใครคิดว่าตัวเองคืออัมบริดจ์แน่นอน!
Megan : แต่พวกเขาบางคนกลับมองว่าคุณเป็นอัมบริดจ์ - ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพวกนักวิจารณ์ที่อายุน้อยบนโลกออนไลน์ พวกเขามองว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังยืนหยัดต่อสู้กับคนอายุมากกว่าที่มีอำนาจ ซึ่งพวกเขามองว่าตัวเองกำลังยืนหยัดสู้กับคุณ
JK : ใช่ และฉันเข้าใจนะ เพราะพวกเขาก็สื่อมาถึงฉันอย่างชัดเจน ว่าทำไมพวกเขาถึงตีความแบบนั้น!
Megan : แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นเฮอร์ไมโอนี่หรืออัมบริดจ์
JK : ถ้าคุณสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่และรู้สึกถึงความพึงพอใจในตัวเองอย่างมากๆ ฉันเชื่อว่าจิตสำนึกของคุณจะบอกให้หยุดและคิดชั่วครู่ว่า "นี่ฉันกำลังเมามันส์ไปกับอีโก้ของตัวเองอยู่รึเปล่า" นั่นจะเป็นสิ่งที่ดี ที่คุณตั้งคำถามกับตัวเอง
ถามว่าฉันมีความสุขไหมน่ะเหรอ ฉันตอบจากก้นบึ้งของหัวใจเลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขเลย มันทำให้ฉันกังวล ทำให้ฉันรู้สึกเปราะบาง แม้ว่าฉันจะไม่เสียใจที่ได้พูดออกไป แต่ฉันก็กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัว และการคุกคามบางอย่างก็ไม่ตลกเลยสำหรับฉัน มันมีผลกระทบกับชีวิตของฉันอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแม้ว่าฉันจะไม่เสียใจที่ลุกขึ้นมาพูด แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกพอใจแต่อย่างใดเลย
คุณรู้ไหม จุดพลิกผันสำหรับฉันเมื่อคุณกำลังพูดถึงความชอบธรรม คือเหตุการณ์หนึ่งเมื่อปี 2019......
โรว์ลิง กล่าวถึงเหตุการณ์ชายคนหนึ่งที่ระบุเพศสภาพตนเองว่าเป็นผู้หญิง ชื่อว่า Katie Dolatowski อายุ 18 ปี ได้ลงมือก่ออาชญากรรมทางเพศกับเด็กผู้หญิงอายุ 10 ปีในห้องน้ำสาธารณะที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งในเมือง Kirkcaldy สก็อตแลนด์
ก่อนที่ในอีกไม่กี่วันต่อมา เขาได้ลงมืออีกครั้งโดยการพยายามแอบถ่ายเด็กผู้หญิงอายุ 8 ปีในห้องน้ำหญิง แต่หลบหนีออกมาได้เสียก่อน
เขาถูกจับ แต่ศาลไม่ได้ส่งเข้าคุก เนื่องจาก Dolatowski ยังเป็นเยาวชน เพียงแต่ถูกบันทึกประวัติและให้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ 100 ชั่วโมง
JK : ความเห็นบางอย่างที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ฉันถึงกับสตันท์ สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือ "พวก TERF รู้สึกรักเลยสินะ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น" กลุ่มคนที่คิดว่าพวก TERF นั้นเป็นปีศาจชั่วร้ายเริ่มทำงานทันที “พวกเขาแค่เกลียดคนข้ามเพศ พวกเขาต้องการให้พวกเขาทั้งหมดตาย เราทุกคนรู้เรื่องนี้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิด” อะไรทำให้คุณเชื่อว่า เราใช้เด็กอายุ 10 ขวบที่เพิ่งรอดพ้นจากการข่มขืนมาเป็นเครื่องมือในการต่อต้านคนข้ามเพศเหรอ - ระบบความคิดขาวดำของ คุณพัฒนามาถึงจุดที่คุณคิดว่าเฟมินิสต์อย่างฉันรู้สึกร่าเริงเวลาผู้หญิงถูกข่มขืนหรือทำร้าย? “นี่ไงล่ะ เราสามารถใช้เรื่องนี้มาทุบพวกผู้หญิงข้ามเพศได้แล้ว” ฉันเห็นข้อความพวกนี้แล้วรู้สึกว่าไม่ใช่แค่ไร้เหตุผล แต่ยังเป็นทัศนคติที่ชั่วร้ายมากๆ ด้วย แถมบางคนยังไม่หยุดแล้วเอาแต่กล่อมตัวเองว่า "มันไม่ต่างกับเคสข่มขืนอื่นๆ สักเท่าไรหรอก" นี่คุณกำลังขยับหมากรุกบนกระดานอยู่เหรอ เห็นนี่เป็นเกมส์หรือไง โลกแห่งความจริงต่อหน้ามีคนกำลังเจ็บปวดและได้รับอันตรายนะ
Megan : ฉันมีอีกคำถามหนึ่ง คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่ชอบธรรมจริงๆ หรือมันอาจเป็นแค่สิ่งที่ "ดูเหมือน" จะชอบธรรม คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าความกล้าที่ออกมาเรียกร้องความอยุติธรรมนี้ ไม่ได้เป็นการผลักให้คุณเข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่ผิดฝั่ง - เพราะฉันซึ่งมาจากเวสต์โบโร ฉันเคยเชื่ออย่างแรงกล้าว่าฉันกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง พอได้หลุดออกมาและมองย้อนกลับไป ฉันถึงให้เห็นว่ามันเป็นการทำลายล้างและอันตรายมาก - และสิ่งที่ฉันต้องเผชิญหลังจากคิดได้ คือหลายเดือนหลังจากนั้น เป็นเวลาที่ฉันเฝ้าถามตัวเองว่าจะเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งได้อย่างไร เพราะฉันเคยมั่นอกมั่นใจมากๆ ฉันพยายามมองหารากฐานใหม่ที่มั่นคง เช่น ฉันควรต้องยืนอยู่ฝั่งไหน ฉันจะเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้งได้อย่างไร ในอนาคตฉันจะไม่ทำผิดพลาดกับเรื่องเดิมซ้ำสองใช่ไหม - ฉันได้ลิสต์คำถามเหล่านี้ขึ้นมาเรื่อยๆ บางคำถามคุณอาจเคยตอบไปแล้ว แต่ที่ฉันกำลังจะถามคุณอยู่นี้จะเป็นการ re-check อีกครั้งว่าฉันกำลังเลือกทางเดินผิดอีกหรือเปล่า
ดังนั้น คำถามแรกคือ ที่คุณทำอยู่นี้เป็นแค่การฆ่าเวลาเพื่อตอบความเชื่อที่แท้จริงของคุณ หรือ คุณทำมันไปด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริง
JK : ฉันมั่นใจจริงๆ และฉันคิดว่านั่นล่ะ คือกุญแจสำคัญ ในตอนที่เรากำลังมั่นใจมากที่สุด เมื่ออะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน พระเจ้า! ฉันเป็นคนดี มันคือช่วงเวลาที่เราควรตั้งคำถามกับตัวเองมากที่สุด นั่นคือเวลาที่คุณต้องหยุดและตั้งคำถามกับตัวเอง
Megan : ประเด็นที่สองคือ ถ้ามีหลักฐานที่ชัดเจน คุณพร้อมจะเปลี่ยนจุดยืนของคุณหรือไม่ หรือเรื่องทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของคุณที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้เหมือนกัน
JK : เราเคยคุยกันเรื่องนี้แล้ว และฉันคิดว่านั่นเป็นคำถามที่ดี ฉันบอกตัวเองอยู่เสมอว่าถ้ามีหลักฐานมาให้ฉันก็พร้อมจะดู พร้อมจะฟัง ถ้ามันมีน้ำหนักมากพอ ฉันก็พร้อมที่จะเปลี่ยนจุดยืนนี้ของฉันเอง
Megan : มุมมองของฝ่ายตรงข้ามที่คุณถ่ายทอดออกมานั้น ตรงตามที่พวกเขาคิดเป๊ะๆ เลยไหม หรือคุณเองก็ไม่แน่ใจ
JK : ฉันเชื่อว่าที่ฉันสามารถระบุความคิดและจุดยืนของฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะฉันอ่านหนังสือของพวกเขา และฉันคิดว่าคนอื่นๆ ที่อยากจะเข้ามาในการโต้เถียงนี้ก็จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน พวกเขาต้องเข้าใจก่อนว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ถึงจะได้รู้ว่าเรากำลังจะโต้เถียงกันเรื่องอะไร
Megan : ข้อสี่ คุณกำลังโจมตีความคิดหรือโจมตีคนที่กำลังยึดถือมันอยู่?
JK : ความคิด แน่นอนอยู่แล้ว
Megan : คุณพร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนสนิทที่ไม่เห็นด้วยกับคุณหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดขัดแย้งที่ไม่ลงรอยเล็กๆ น้อยๆ ?
JK : ไม่ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น ความเชื่อที่แตกต่างไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ฉันบอกคุณได้ว่าฉันไม่ต้องการรู้จักกับคนที่ทำตัวคุกคามทั้งกับฉันหรือคนอื่น ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม เพราะฉันเชื่ออย่างยิ่งว่า ตอนเราพูดเราอาจไม่รู้ตัว จะด้วยอารมณ์หรืออะดรีนาลินก็ตาม แต่การกระทำนั้นต่างออกไป ถ้าคุณได้ลงมือทำอะไรไปแล้ว มันหมายถึงได้ผ่านกระบวนการคิดมาก่อน ไม่ว่าจะไตร่ตรองหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น การกระทำบางอย่างอาจเป็นตัวทำลายข้อตกลงนี้สำหรับฉัน รวมไปถึงการเที่ยวแปะป้ายคนที่ออกมาปกป้องเหยื่อว่าเป็นปิศาจ นั่นต่างหากคือคนที่ฉันจะไม่มีวันทำความรู้จักด้วยอย่างแน่นอน
Megan : คำถามสุดท้ายมาก ทำไมคุณถึงยอมคุยกับฉัน คุณหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยอะไร?
JK : ฉันตั้งใจคุยกับคุณโดยเฉพาะ เพราะคุณเขียนจดหมายที่น่าเหลือเชื่อนั้นส่งมาถึงฉัน มีคนนับร้อยที่บอกฉันว่า "อธิบายตัวเอง อธิบายตัวเอง" แต่ฉันรู้สึกว่าคุณจะทำให้ฉันสามารถสนทนาในเรื่องที่ฉันสนใจได้ ส่วนในประเด็นที่ว่าฉันหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยอะไร ฉันแค่คิดว่าผู้คนจะเพลิดเพลินกับ Podcast อย่างตรงไปตรงมา - ฉันไม่ได้หมายความอย่างหยิ่งยะโส และไม่ได้หมายความแบบนี้เพราะเข้าข้างตัวเองหรอกนะ
ฉันแค่รู้สึกว่าฉันได้พูดสิ่งที่ฉันอยากจะพูด และบางที เมื่อม่านหมอกพวกนี้จางลง บางคนอาจจะเข้าใจดีขึ้น บางคนจะเกลียดฉันไปตลอดกาลจากสิ่งที่ฉันออกมาพูด ฉันยอมรับได้เพราะฉันรู้ว่าฉันไม่เสียใจเลยที่ออกมายืนหยัดต่อสู้กับปัญหานี้ นั่นคือราคาที่คุณจ่าย หากคุณต้องการเป็นที่รักของคนทั่วโลกชั่วนิรันดร์ คุณต้องรักษาภาพลักษณ์ของคุณในแบบที่ฉันไม่พร้อมจะทำ เพราะฉันไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่จะทำอย่างนั้น
และฉันไม่ได้เดิมพันอะไรแบบนี้มานานแล้ว ฉันไม่ได้คิดว่า “เดี๋ยวช่วงนี้จะผ่านไป และฉันจะได้รับการพิสูจน์” ฉันไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ฉันรู้แค่ตอนนี้ว่า ฉันคงทรยศตัวเอง ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงจำนวนมาก หากฉันไม่ออกมาสู้ในประเด็นนี้ ซึ่งคือสิ่งที่สำคัญกว่าในโลกนี้สำหรับฉัน มากกว่าการมีชื่อเสียง และฉันจะถูกหรือผิดนั้นไม่ใช่ประเด็นหลักเลย ประเด็นหลักคือฉันได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องสำหรับตนเองต่างหาก
Megan : โจ โรว์ลิ่ง ขอบคุณมากสำหรับการพูดคุยกับฉัน
JK : ขอบคุณ
... จบ ตอนที่ 7 ...
...ตอนนี้เป็นบทสัมภาษณ์ตอนสุดท้ายแล้ว หวังว่าทุกท่านจะได้อะไรกลับไปจากการสัมภาษณ์ตลอดทั้ง 7 ตอนในครั้งนี้...
ถอดบทสัมภาษณ์โดยเว็บไซต์ The Rowling Library
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifan