*** ถอดความเฉพาะส่วนที่สัมภาษณ์ J.K Rowling ***
ฉันคิดว่าสำนักพิมพ์ของฉัน คงได้รับสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น
Megan : คุณยังจำความรู้สึกครั้งแรก ตอนที่มีคนบอกว่าหนังสือของคุณ "อันตราย" ได้ไหม
J.K : น่าจะช่วงปี 1999 - เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่าหนังสือถูกแบนจากคนบางกลุ่ม มีเสียงต่อต้านบอกมาว่ามัน "อันตรายและผิดศีลธรรม" บ้าสิ้นดี! มีแต่คำกล่าวหาที่เกินจริงทั้งนั้น พวกเขาบอกว่าฉันกำลังทำร้ายพวกเด็กๆ และหนังสือนี้เป็นภัยต่อความคิดและจิตใจของพวกเขา
แล้วก็มาในปี 2000 - ช่วงเวลาที่ทุกอย่างก็ดูใหญ่และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว - ซึ่งในมุมของฉันมันช่างบ้าสิ้นดี - ฉันเคยต้องเซนต์หนังสือ 2000 เล่มในหนึ่งวัน และในงานๆ หนึ่งที่ร้านหนังสือ เป็นครั้งแรกที่เราได้รับคำขู่วางระเบิดจากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นชาวคริสต์ขวาจัดหัวรุนแรง
การประท้วงในอเมริกา
J.K : เรื่องราวที่อเมริกาก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แตกต่างไปจากในอังกฤษ - ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยคุยกับบรรณาธิการของพอตเตอร์ฉบับอเมริกาเหมือนกัน เขาคิดว่า "นั่นไม่จริงเลย แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นหนังสือที่ส่งเสริมคุณธรรมอย่างมากนะ" แล้วก็บอกฉันว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ "หลีกเลี่ยงไม่ได้"
นั่นล่ะที่ฉันเริ่มมองเห็นว่าเรื่องนี้มันกำลังเริ่มใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกทีแล้ว - จริงๆ มีหนังสือเกี่ยวกับแม่มดพ่อมดอยู่อีกมากมาย และฉันคิดว่าการทำแบบนี้ ยิ่งช่วยเพิ่มกระแสและความโด่งดังให้กับหนังสือมากขึ้น มันทำให้ผู้คนได้รู้จักแฮร์รี่มากขึ้นไปอีก
Megan : เมื่อคุณเห็นผู้คนเหล่านี้กำลังเผาหนังสือของคุณ - ซึ่งพวกเขาทำอย่างจริงจังมาก ไปจนถึงพยายามขอให้แบนและเอามันออกจากโรงเรียนและห้องสมุด คุณเข้าใจไหมว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในหมู่พวกเขา
J.K : ฉันคิดว่าคำตอบนั้นได้แสดงให้เห็นในหนังสือด้วยนะ ความรู้สึกที่เชื่อว่าตนเองมีความชอบธรรม มักจะนำพาให้เกิดการกระทำที่เลวร้ายตามมาด้วยเสมอ เราอาจมองว่าพวกเขาส่วนใหญ่ที่ออกมาเคลื่อไหวนั้นบ้าหรือน่ารังเกียจ - แต่พวกเขาเชื่อว่าตนมีความชอบธรรม และกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิที่จะทำแบบนี้อย่างเต็มที่
แต่สำหรับฉันแล้ว พวกคนที่ทำแบบนั้น (เอาหนังสือมาเผา) - คือพวกที่วางตัวเองให้อยู่เหนือเส้นของการถกเถียงกันด้วยเหตุและผล "ก็ฉันไม่ชอบแนวคิดแบบนี้ ฉันจะทำลายมันซะ - อะไรนะ ฉันทำลายไม่ได้เหรอ งั้นฉันจะทำลายสัญลักษณ์หรือตัวแทนของมันละกัน - นี่แน่ะ! ฉันจะเผาหนังสือนี้ทิ้งซะ"
ไม่มีหนังสือไหนบนโลกนี้ถูกเผาได้หมดหรอก ไม่มีทาง - แม้แต่หนังสือที่ฉันคิดว่าสมควรต้องถูกทำลายมากที่สุดก็ตาม - ดังนั้น สำหรับฉัน การเผาหนังสือ ก็แค่ทางออกสุดท้ายของคนที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ ก็เท่านั้นเอง
Megan : หนึ่งในธีมที่โดดเด่นออกมาตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือ คนแบบป้าและลุงของแฮร์รี่ ที่บอกเขาว่า "อย่าถามอะไรอีกนะ" ฉันสงสัยว่าอะไรคือจุดสำคัญที่ทำให้คุณเลือกเปิดประเด็นนี้เป็นอันดับแรกๆ ในบรรดาหนังสือทั้งเจ็ดเล่ม
J.K : อ้า! คุณก็เห็นแล้วนี่ ก็เหมือนพวกชอบเผาหนังสือนี่ไง เพราะพวกเขาเชื่ออย่างเต็มร้อยว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายที่พวกเขากระทำออกมาด้วย อย่างเช่น การลงโทษแฮร์รี่อย่างไม่มีเหตุผล บอกว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาๆ (ทั้งที่เขาไม่ใช่) เขาแย่ เขาผิด ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเขาด้วยคำว่า "อย่าถามอะไรอีกนะ" เผาและทำลายจดหมายทุกฉบับที่ส่งมา - กล่อมตัวเองว่าทำถูกมาโดยตลอด คุณไม่ได้รับอนุญาตให้มองออกไปนอกกรอบ ที่เราขีดไว้ให้แต่แรกแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องปกติ อะไรที่เราบอกคุณไปก็คือโลกทั้งใบของคุณนั่นล่ะ
Megan : มีเรื่องราวมากมาย โดยเฉพาะนิยายสำหรับเด็กส่วนใหญ่ ที่พระเอกก็คือพระเอก ตัวร้ายก็คือตัวร้าย และคำถามเดียวที่ผู้อ่านจะตั้งธงทันทีเมื่อเปิดหนังสือ คือ พระเอกจะเอาชนะตัวร้ายได้ยังไง - ซึ่งนั่นไม่ใช่กับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่พระเอกก็มีข้อบกพร่อง บางคนที่เราคิดว่าเป็นตัวร้ายกลับกลายมาเป็นผู้กอบกู้โลก และมีตัวละครมากมายในพอตเตอร์ที่ชวนให้เราคิดแบบนั้นในคราวแรกก่อนจะมาเฉลยทีหลังว่าพวกคุณเข้าใจผิด - และหนึ่งในประเด็นหลักแรกๆ ของหนังสือก็คือ หากคุณต้องการค้นหาความจริง คุณก็ไม่ควรรีบด่วนสรุป เพราะอคติอาจหักหลังคุณในภายหลังได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าการตัดสินใจของคุณในตอนแรกนั้นผิดพลาด
ดูเหมือนว่าคุณจะตระหนักและหยั่งรู้อย่างลึกซึ้งถึงพฤติกรรมมนุษย์ในด้านนี้ - ความคิดที่มักถูกชักนำให้ต้องเลือก ระหว่างขาวกับดำ อะไรคือความดี อะไรคือความชั่วร้าย แม้มันยากที่จะแสดงออกมาให้เห็น แต่คุณก็ทำมันสำเร็จ - คุณจะบอกได้อย่างไรว่าความคิดหรือการกระทำเหล่านั้นควรจัดให้ไปอยู่ในด้านไหน
J.K : นั่น.. เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก ซึ่งมันก็เป็นหัวใจหลักของหนังสือพอตเตอร์ และมุมมองของฉันที่มีต่อโลกด้วย
มีตัวละครที่จัดว่าชั่วร้ายอย่างกู่ไม่กลับ ซึ่งเขาได้ลดทอนความเป็นมนุษย์ในตัวของเขาเอง - ก็คือ โวลเดอมอร์ เขาจงใจลดความเป็นคนในตัวเขาด้วยเวทมนตร์ที่ทรงพลัง แล้วเราก็ได้เห็นบทสรุปในตอนท้ายว่า สิ่งที่เขาเหลือทิ้งเอาไว้นั้นต่ำตมยิ่งกว่าคนอื่นๆ - เขามองว่ามนุษย์มีแต่ความอ่อนแอ พ่ายแพ้ให้กับความตายอย่างง่ายดาย - เขาจึงใช้เวทมนตร์ เพื่อพยายามทำให้ตัวเองเข้าใกล้ความเป็นอมตะให้มากที่สุด เขามองว่าสิ่งนั้นทำให้เขาแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้คนทั่วไป - แต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม เพราะยิ่งเขาทำแบบนั้น เขาเลยไม่รู้ตัวว่าได้เอาเศษเสี้ยวของความเป็นคนออกไปจากตัวเอง จนจิตใจเขาตกไปอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เสียจนไม่เข้าใจและออกจะดูแคลนอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ทั่วๆ ไป ซึ่งเขามองว่าอ่อนแอ
มีหลายประเด็นมากที่ฉันสนใจและพยายามแสดงให้เห็นในหนังสือ หนึ่งในนั้น คือ การใช้มุมมองความคิดเพื่อเลือกระหว่าวดำกับขาว หลายคนชอบเพราะมันง่าย และในหลายๆ สถานการณ์มันดูปลอดภัยดี เพราะ เมื่อคุณได้เลือกข้างใดข้างหนึ่งแล้ว มันจะพาคุณไปพบกับคนที่คิดเหมือนกัน แล้วจากนั้นคุณก็เริ่มสร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง และสร้างข้อตกลงร่วมกันว่าจะภักดีกับความเชื่อที่เราได้มีร่วมกันนี้
ประเด็นนี้โดนและกระแทกใจฉันอย่างรุนแรง ฉันเลยแสดงให้เห็นในพอตเตอร์ว่า เราควรระวังตัวเองให้มาก ในยามที่เรากำลังมั่นใจสุดๆ และเราควรตั้งคำถามกับตัวเองให้มาก เมื่อเรากำลังใช้อารมณ์ในการพูดหรือทำอะไรก็ตาม หลายคนทำพลาด เพราะใช้อารมณ์เป็นตัวนำ แล้วพาลคิดเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งที่เพิ่งแสดงหรือพูดออกมานั้นถูกต้อง "ฉันรีบพูดออกมาแบบนั้น เพราะฉันถูกน่ะสิ" - แต่ในมุมมองของฉัน วิจารณญาณมักจะเกิด เมื่อคุณเงียบ นั่งลง แล้วค่อยๆ บอกกับตัวเองว่า "คิดอีกที คิดใหม่อีกรอบ มองให้ลึกขึ้นหน่อย ลองพิจารณาดู"
เรื่องนี้นำความประหลาดใจมาให้กับฉัน ซึ่งมันเป็นข้อถกเถียงเรื่องแรกๆ ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพอตเตอร์ และเป็นการถกเถียงกันที่ค่อนข้างเกรี้ยวกราด - ใช่ ฉันใช้คำนี้ เพราะฉันหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ - คือเรื่องของดัมเบิลดอร์กับสเนป
ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการให้ดัมเบิลดอร์สมบูรณ์แบบ แต่เขามีบาดแผลจากอดีตที่ใหญ่มาก ซึ่งเกิดจากการที่เขาเลือกทางเดินผิดไปช่วงหนึ่ง แต่ยังไงสำหรับฉันเขาก็เป็นภาพสะท้อนของความดี - เขาเคยทำพลาด แต่เขาก็เรียนรู้จากมัน เขาฉลาดรอบคอบขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ยังต้องมาตัดสินใจแต่เรื่องยากๆ - เหมือนกับพวกเราในโลกแห่งความจริงนี่ล่ะ - การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
ขณะเดียวกันเราก็มีสเนป ภาพสะท้อนของคนพาลที่เห็นได้ชัด - เขาโหดร้าย ซาดิสต์และขมขื่น แต่เขาก็กล้าหาญ พยายามทำตัวให้ดีขึ้นเพื่อแก้ไขความผิดพลาดที่ร้ายแรงในอดีต และแน่นอนว่าถ้าไม่มีเขา เรื่องราวจะเดินไปสู่ความหายนะอย่างแท้จริง - แฟนๆ หลายคนโกรธฉันที่ไม่ยอมจัดให้สเนปเป็นคนดีหรือคนเลว เพียงเพราะพวกเขาต้องการที่จะแยกว่า ตัวละครไหนเป็นคนดีี ตัวไหนเป็นคนเลว - "ก็ยอมรับกันมาตรงๆ ไม่ได้เหรอว่าสเนปเป็นคนเลว" -
ฉันก็คิดอยู่หลายครั้งนะ แต่สุดท้ายฉันก็เห็นด้วยกับคุณไม่ได้หรอก เพราะฉันรู้จักเขาดี แต่ฉันจะลองคิดทบทวนใหม่ และก็ใช่ ฉันก็ไม่เห็นด้วยกับคุณอยู่ดีนั่นล่ะ จบนะ! - คนเราทำผิดพลาดกันได้ คนเราอาจเคยทำในสิ่งที่เลวร้าย แต่นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ ว่าพวกเขาก็ยังสามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ซึ่งฉันหมายถึงความยิ่งใหญ่ในแง่ศีลธรรมนะ ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือความรุ่งโรจน์
... จบ ตอนที่ 2 ...
ถอดบทสัมภาษณ์โดยเว็บไซต์ The Rowling Library
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifa