*** ถอดความเฉพาะส่วนที่สัมภาษณ์ J.K Rowling ***
บทความตอนนี้มีบางส่วนอาจไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน
JK : แล้วจากความกังวล ก็เริ่มกลายเป็นความหวาดกลัวจากสิ่งที่ฉันได้เห็น ฉันคิดว่าการเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวพวกนี้ (กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของคนข้ามเพศ) เริ่มทำให้ฉันหนักใจขึ้นมาจริงๆ จากการที่เห็นพวกเขาแสดงความก้าวร้าวนอกการประชุมของกลุ่มเฟมมินิสต์ มีเสียงกระแทกแดกดัน เตะหน้าต่าง พยายามข่มขวัญ - แล้วแต่ละคนก็สวมหน้ากาก ซึ่งฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ ว่ามันไม่ได้ทำให้คุณดูน่าไว้ใจเลย คนประสาทดีที่ไหนจะสวมไอ้โม่งสีดำ - ฉันกำลังยืนดูการคุกคามเสรีภาพในการพูด การแสดงออก เสรีภาพทางความคิด หรือ เสรีภาพของกลุ่มสมาคม
JK : ฉันเริ่มเป็นเฟมินิสต์ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ประมาณอายุ 20 ต้นๆ ฉันเคยอ่านเรื่องราวของ Kate Milich และ Simone de Beauvoir แน่นอนว่าพวกเธอตายไปแล้วล่ะ ตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือของพวกเธอ และมันจุดประกายให้ฉันรู้สึกตระหนักอย่างลึกซึ้ง ถึงชะตากรรมที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทุกคนต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่ในโลกตะวันตก แต่หมายถึงผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในดินแดนที่ห่างไกลออกไปจากฉันด้วย
รูปแบบเฉพาะของวัฒนธรรมที่ฉันเติบโตขึ้นมา ความเป็นผู้หญิงทำให้พวกเรามักจะถูกคุกคามและกดดัน ด้วยบางเรื่องอย่างจำเพาะเจาะจง และเราต้องการการปกป้อง การป้องกัน ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวกับเพศสภาพของเราทางชีววิทยาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของเราได้ เรามักถูกขัดขวางเมื่อพยายามจะอธิบายว่าพวกเรามีอะไรที่แตกต่างจากผู้ชายอย่างสิ้นเชิง
เฟมินิสต์ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเสมอในกระแสสังคมหลัก พวกเธอน่าเกลียด ไม่โกนขนรักแร้ ก้าวร้าวและป่าเถื่อน และฉันคิดว่าเห็นความคล้ายกันนี้กับคำว่า TERF ที่คนบางกลุ่มเอามาใช้เรียกพวกเฟมินิสต์ในปัจจุบัน แต่ต้นเหตุหลักก็ยังเหมือนเดิม คือ การพยายามโจมตีเฟมินิสต์ ผู้หญิงกลุ่มที่ไม่ยอมทำตัวให้สมกับความเป็นผู้หญิงอย่างที่พวกเขาคาดหวังจะให้เป็น (อยู่เงียบๆ สงบปากสงบคำ อย่าแสดงความเห็น) - คุณเห็นไหมว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือเรื่องเดิมๆ นั่นล่ะ
JK : ฉันจับตามองเรื่องนี้อยู่ ฉันสนใจและศึกษาข้อมูลอยู่หลายรอบมากๆ ฉันรู้ว่ามีกลุ่มนักเคลื่อนไหวกำลังเรียกร้องเรื่องการระบุอัตลักษณ์ตัวตน (self-identification) พวกเขาอนุญาตให้ผู้ชาย - ที่ยังมีสภาพทางร่างกายเป็น "ชาย" อยู่ครบสมบูรณ์ - สามารถระบุตัวตนของตนเองให้เป็นผู้หญิงได้ ถ้าคนนั้นมีลักษณะครบตาม "กรอบแนวคิด" ที่พวกเขาตั้งไว้
และฉันคิดหนักกับการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา ในฐานะผู้หญิง ฉันเคยต้องรับมือกับประเด็นต่างๆ เคยเป็นทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ฉันมีมุมมองที่ยึดหลักความเป็นจริงเสมอ ไม่ไหลไปตามกระแส และมันจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณได้คลายเส้นแบ่งระหว่างเพศ (ทางชีวภาพ) โดยเฉพาะเส้นแบ่งที่อยู่รอบๆ พื้นที่ของผู้หญิงและเด็กผู้หญิง ดังนั้นเรื่องนี้ ทำให้ฉันหนักใจและกังวลอย่างมาก คุณไม่คิดจริงๆ เหรอว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ ถ้าปล่อยให้แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้จริง
ฉันได้ยินเสียงกรีดร้องกลับมาอย่างโกรธแค้นว่า "คุณกำลังบอกว่าคนข้ามเพศเป็นพวกนักล่างั้นเหรอ!" โอ้ย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น! ฉันเป็นผู้หญิงแท้ที่แต่งงานและมีความสุข ฉันรู้ว่าผู้ชายทุกคนไม่ใช่นักล่า ฉันรู้ดี ฉันมีผู้ชายที่ดีอยู่ในชีวิตฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังตระหนักดีว่า 99% ของความรุนแรงทางเพศมาจากมนุษย์ที่มีองคชาติ ปัญหาคือความรุนแรงของผู้ชายต่างหาก พวกนักล่าต้องการเข้าถึงตรงนี้ และคิดภาพสิว่าผู้ชายพวกนี้ เดินเข้าไปเปิดประตูห้องน้ำ ห้องแต่งตัว หรือที่ไหนก็ตามแล้วพูดว่า "ฉันเป็นผู้หญิงและฉันมีสิทธิที่จะเข้ามาได้" มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้หญิงและเด็กชัดๆ เลย
จริงๆ เรื่องนี้แทบจะไม่เกี่ยวกับคนข้ามเพศเลย แต่เป็นเรื่องการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสการเกิดความรุนแรงจากผู้ชายมาสู่ผู้หญิงต่างหาก - และก็อีกนั่นล่ะ นักเคลื่อนไหวบางคนที่คอยแต่จะเถียงฉันอย่างเดียวก็ถามอีกว่า "แต่ตอนนี้พวกเขา (คนข้ามเพศ) เป็นผู้หญิงแล้วนะ" - ฉันเลยตั้งคำถามอีกล่ะว่า "แล้วอะไรที่บอกถึงความเป็นผู้หญิงกันล่ะ"
ฉันถามคำถามนี้กับตัวเองด้วย เพราะฉันคิดว่านั่นเป็นกระบวนการที่กำลังทดสอบว่า คุณมีความซื่อสัตย์หรือตรงไปตรงมากับสติปัญญาของคุณมากน้อยแค่ไหน ฉันต้องมีหลักฐานอะไรบางอย่างมายืนยันเพื่อที่ฉันจะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง ฉันจึงถามตัวเองด้วยคำถามนี้ "อะไรบ้างที่บอกถึงความเป็นผู้หญิง"
ดังนั้น เมื่อคุณพยายามบอกว่า ไม่มีใครลงทุนแต่งตัวเป็นเพศตรงข้าม เพื่อจะเข้าไปทำร้ายผู้หญิงหรอก และไม่มีหญิงข้ามเพศคนไหนทำร้ายร่างกายผู้หญิงในพื้นที่ส่วนตัวซะหน่อย แน่นอน ฉันจะเชื่อแบบนั้น ถ้าฉันลองไปหาหลักฐานข้อมูลดูแล้วพบว่าที่คุณพูดมามันเป็นแบบนั้นจริง - แต่ฉันเสียใจที่ต้องบอกว่า มันมีหลักฐานชี้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
รูปแบบอาชญากรรมที่เกิดจาก คนร้าย (ชาย) ปลอมตัวเป็นผู้หญิงก่อนลงมือ มีปรากฏให้เห็นมาตลอด และไม่เพียงแค่เป็นอันตรายกับผู้หญิง แต่อาจรวมไปถึงเด็กผู้ชายด้วยในบางครั้ง ต้องทำความเข้าใจว่า มนุษย์ทุกคนมีความหวาดระแวงว่าอาชญากรรมที่เกิดจากผู้หญิงนั้นมีโอกาสต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ชาย อาชญากรเหล่านี้เลยเลือกใช้วิธีการปลอมตัวเป็นผู้หญิงมาใข้อำพรางตนเอง จึงส่งผลให้หญิงข้ามเพศ (transwomen) ต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปด้วย
JK : ฉันมีชีวิตช่วงวัยรุ่นที่ไม่น่าพิศมัย.. และฉันเกลียดช่วงเวลานั้นมาก ฉันไม่เคยมีความรักโรแมนติกแบบหนุ่มสาว มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับฉันมาก แม้ฉันจะมีความสุขเมื่อตอนได้อยู่กับเพื่อนๆ ก็ตาม แต่ถ้าคุณถามฉันว่าอยากกลับไปอายุ 13 อีกครั้งไหม ฉันขอบอกเลยว่า "ไม่เอาแน่นอน" ให้ตายเถอะ ฉันอยากใช้ชีวิตโดยที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่นั่นล่ะ - ช่วงเวลานั้น คือส่วนหนึ่งของการเติบโต
ฉันโตมาในครอบครัวที่อาจบอกได้ว่าค่อนข้างกดเพศหญิงหน่อยๆ เหมือนกับเด็กผู้หญิงทุกคนในรุ่นเดียวกัน ฉันโตมาพร้อมกับการกำหนดมาตรฐานความงามและความคิดที่กำหนดความเป็นกุลสตรี และฉันเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้ากับทั้งสองอย่าง ฉันเคยไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นกุลสตรี และฉันไม่เคยเข้าใจมันจริงๆ คุณรู้ไหม ฉันไม่เคยรู้ว่าเป็นผู้หญิงต้องแสดงออกยังไง - ฉันดูเหมือนกะเทยมากตอนอายุ 11-12 ฉันไว้ผมสั้น และฉันก็จำได้อย่างแม่นยำถึงความกระวนกระวายใจในตอนนั้น ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ความจริง - ฉันว่าผุ้หญิงหลายๆ คนอาจเคยรู้สึกเหมือนกัน - ฉันมีแต่ความกังวลใจเกี่ยวกับร่างกายที่กำลังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง รู้สึกถึงความอึดอัด เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มดึงดูดสายตาอันไม่พึงประสงค์เข้ามาที่ตัวคุณ
ฉันยังจำได้ดี เกี่ยวกับคำวิจารณ์บนร่างกาย มันยากมากกับการรับมือตอนมีประจำเดือนช่วงแรกๆ การเยาะเย้ย ถากถาง โดยเฉพาะจากพวกเพื่อนผู้ชาย - ความหลงไหลที่น่าสะอิดสะเอียดจากพวกชายหนุ่ม ที่มีทั้งความปรารถนาและความรังเกียจปะปนกัน - มันยากมากที่จะรับมือนะ ฉันตั้งคำถามเกี่ยวกับสภาวะทางเพศของตัวเอง เช่น "ถ้าฉันชมเพื่อนฉันว่าเธอสวยมาก นั่นแปลว่าฉันเป็นเกย์หรือเปล่า" - จริงๆ ที่ฉันคิดตอนนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาน่ะนะ แล้วฉันก็โตขึ้นมาเป็นผู้หญิงเพศตรง แต่ฉันก็ไม่เคยลืมความรู้สึกชวนประสาทเสียเกี่ยวกับร่างกายตัวเองในช่วงนั้นได้เลย
ส่วนตัวเลยนะ ฉันไม่เชื่อว่าเด็กอายุ 14 ปีจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าการสูญเสียภาวะการเจริญพันธุ์คืออะไร ถ้าฉันอายุ 14 แล้วคุณมาถามว่า "เธออยากมีลูกไหม" ฉันจะตอบทันทีเลยว่า ไม่ ฉันไม่อยากมี - แล้วฉันค่อยมาพบในตอนหลังว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่สวยงามและมีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน - แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนคิดอยากจะมีลูกหรือผู้หญิงทุกคนต้องการที่จะเป็นแม่ - แต่นี่มันเป็นความรู้สึกส่วนตัว ลูกๆ ของฉันได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ฉันก็ไม่เปลี่ยนความคิดตอนอายุ 14 หรอก ใครจะไปเข้าใจความรู้สึกอย่างลึกซึ้งเมื่ออายุเท่านั้น
ความรู้สึกนี้ของฉัน ได้แสดงให้เห็นหนังสือพอตเตอร์ด้วย มีความหลากหลายของรูปแบบประสบการณ์ชีวิตปรากฏอยู่ในนั้นเท่าที่ฉันพอจะแสดงให้เห็นได้ มีความรู้สึกของคนนอกกลุ่มสังคมในรูปแบบที่หลากหลาย ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้สำหรับกลุ่มที่ตกอับ และฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความรู้สึกของผู้คนที่รู้สึกว่าตัวตนของพวกเขาถูกขังอยู่ในร่างกายที่ไม่ตรงกับความต้องการทางจิตใจ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนข้ามเพศ ฉันเข้าใจดีว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นยังไง
Gender dysphoria มีอยู่จริง และมันสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล ฉันอยู่ว่ามันมีจริงและมันส่งผลอย่างไรบ้าง และฉันเชื่อว่ามีคนบางกลุ่มพยายามช่วยแก้ปัญหานี้ แต่จากที่เห็นในปัจจุบัน - โดยเฉพาะเมื่อคนหนุ่มสาวเหล่านี้เริ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว - ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นความน่ากังวลใจอะไรบางอย่าง
ดังนั้น - ฉันก็ทำอย่างที่ทำเป็นประจำ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ - อ่านหนังสือไง ไม่รู้กี่เล่มนะ ฉันจำไม่ได้หรอก แต่มันเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานของฉันเลย เวลาฉันสนใจและสงสัยอะไรในบางอย่าง
บล็อกและบทความนับไม่ถ้วน ไปจนถึงหนังสือของ Jacob Tobia (Sissy) และ Andrea Long Chu* นักเขียนผู้ปราดเรื่อง.. ผู้หญิง...
Jacob Tobia (Sissy) : ผู้ซึ่งระบุอัตลักษณ์ตัวเองว่าเป็น Queer เขาเป็นนักเขียน นักแสดงและโปรดิวเซอร์ในอุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกา
Jacob สนับสนุนแนวคิดว่าเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศควรมาก่อนเพศทางชีวภาพ (sex) - เขาคือหนึ่งในคนที่ร่วมประนาม เจ.เค.โรว์ลิง เมื่อเธอออกมาแสดงจุดยืนเรื่องเพศ
Andrea Long Chu : หญิงข้ามเพศที่เขียนหนังสือและบทความเพื่อบอกว่าการเป็นผู้หญิงที่แท้จริงคืออะไร แต่คุณต้องตั้งสติและทำความเข้าใจดีๆ จะพบว่า สิ่งที่ Andrea เขียนออกมานั้น มันค่อนข้างหลักลอยและไม่มีการอ้างอิงใดๆ แม้แต่งานวิจัยทางจิตวิทยาก็ตาม
อย่างเช่น เขาเล่าว่า เขาไปเจอคลิปโป๊ของพี่สาวที่ซ่อนไว้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากข้ามเพศ - เขาเริ่มช่วยตัวเองโดยนึกภาพว่าตัวเขาเองเป็นผู้หญิง (WTF!?)
Andrea บอกว่าพวกเราทุกคนไม่ว่าจะเพศไหน ล้วนมีความต้องการทางเพศลึกๆ เหมือนกับผู้หญิง (เป็นฝ่ายถูกกระทำ) นั่นหมายความว่าผู้หญิงคือภาพสะท้อนของความอิโรติกโดยธรรมชาติ - แปลว่าพวกเราทุกคนมีความรู้สึกว่าอยากเป็นฝ่ายรับ - พวกเรามีความเป็นผู้หญิงซ่อนอยู่ในตัว
และ Andrea ยังสนับสนุนให้เด็กข้ามเพศได้ หากพวกเขาต้องการ (เด็กในที่นี้หมายถึงเยาวชนก่อนอายุ 18 ปี) มีเด็กบางคนที่เชื่อในการกล่าวอ้างของเขาและไปแปลงเพศจริงๆ
** ถ้าอยากติดตามทั้งหมด ลองกดเข้าไปในทวิตที่ผมแปะมาให้นี้ได้นะครับ -->
ถ้าในมุมของผม (แอดมิน) แนวคิดของ Jacob Tobia ส่วนใหญ่ผมรับได้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ทุกคนมีสิทธิกำหนดเพศสภาพหรืออัตลักษณ์ทางเพศให้ตัวเอง แต่การรณรงค์โดยไม่สนใจเพศทางชีวภาพ นี้ผมยังไม่เห็นด้วย - ส่วน Andrea Long Chu บอกตรงๆ ว่าผมรับไม่ค่อยได้ นอกจะเป็นกล่าวอย่างเหมารวมฝ่ายเดียวแล้ว แนวคิดของเขาแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความเข้าใจกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ อีกทั้งยังเป็นการดูหมิ่นผู้หญิงแท้มากไปเสียด้วยซ้ำ
Megan : คุณพยายามที่จะท้าทายมุมมองของคุณเองด้วยเหรอ ?
JK : แน่นอนอย่างที่สุด เพราะฉันอยากทำความเข้าใจว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ โดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัว รวมทั้งแนวคิดและอุดมการณ์ต่างๆ เพื่อตอบคำถามแก่ตัวเองว่า "ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า"
แล้วเราก็มีสโลแกนสองคำ ที่ใช้จบทุกอย่าง "ห้ามเถียง ห้ามเถียง ห้ามเถียง" ซึ่งเป็นคำที่เราได้ยินอยู่แทบจะตลอดเวลา สิ่งนั้นกระตุกจิตของฉันให้เห็นถึงความเผด็จการอำนาจนิยมอย่างแท้จริง ซึ่งมาในรูปของความเป็นมูลฐานนิยม (fundamentalis)* - คุณอย่างได้ลองดีมาท้าทายความคิดของฉัน ถ้าไม่อยากกลายเป็นปิศาจ ฉันคือความถูกต้อง ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายความชอบธรรมของฉัน และฉันเชื่อว่าฉันมีสิทธิที่จะตามล่าคุณ ปิดปากคุณ พรากชีวิตความเป็นอยู่ไปจากคุณ หรือแม้แต่จู่โจมคุณได้"
ตัวอย่างที่เห็นจากเรื่องนี้ คือการทำร้ายร่างกาย Maria McLachlan ที่ Speaker's Corner ในกรุงลอนดอน สถานที่แห่งเสรีภาพในการพูด ที่ๆ ผู้คนสามารถเดินทางไปพูดปราศรัยอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาชอบ Maria ไปที่นั่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มเฟมินิสต์ แล้วเธอก็ถูกทำร่างกายโดยหญิงข้ามเพศที่ชื่อว่า Tara Wolf ซึ่งเขาเคยประกาศผ่านโลกออนไลน์ก่อนจะไปร่วมการประชุมครั้งนั้นว่า "ฉันอยากจะซัดหน้าพวก TERFs สักคนนึง!"
* Fundamentalis หมายถึง พวกนิยมหลักการ ชอบตีความตามตัวอักษรเป๊ะๆ โดยปฏิเสธบริบทหรือความเกี่ยวข้องอื่นๆ - ในกรณีนี้โรว์ลิงหมายถึง กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่กำหนดหลักการในการใช้นิยามอัตลักษณ์ทางเพศขึ้นมาโดยไม่อิงความจริงทางชีววิทยา
<-- : ข่าวการทำร้ายร่างกาย Maria McLachlan สุภาพสตรีอายุ 61 ปี โดยนางแบบข้ามเพศ Tara Wolf และศาลตัดสินว่า Tara มีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย เธอถูกสั่งปรับเป็นเงิน 430 ปอนด์ (ประมาณ 18,000 บาท)
JK : ฉันอยากเข้าร่วมการสนทนาแบบสาธารณะไหมน่ะเหรอ แน่นอน ทำไมน่ะเหรอ เพราะฉันเฝ้าดูอยู่ แล้วเห็นผู้หญิงค่อยๆ ถูกปิดปากลงไปทีละนิดๆ น่ะสิ พวกเธอแต่ละคนถูกด้อยค่า กลายเป็นว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนสมบูรณ์แบบพอที่จะมีสิทธิพูดเรื่องนี้งั้นเหรอ ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดา ทั่วๆ ไป พวกเธอจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ถ้าเป็นผู้หญิงที่มีหน้ามีตาในสังคม ก็จะถูกกดดันทั้งจากคนรอบตัวและนายจ้าง เห็นไหมว่านี่มันกลายเป็นภัยคุกคามสำหรับผู้หญิงไปแล้วจริงๆ และการสนทนามักจะจบลงด้วยคำว่า "คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าการเป็นผู้หญิงข้ามเพศนั้นมันรู้สึกยังไง" - ซึ่งมักจะใช้เป็นข้ออ้างในการปิดปากผู้หญิงอยู่ตลอดเวลา
ผู้คนถูกทำให้หวาดกลัว กลัวที่จะออกมาพูด ฉันเลยเริ่มรู้สึกถึงพันธะทางศีลธรรมในใจ ฉันรู้ว่าจะมีอะไรตามมาถ้าฉันได้พูดออกไป แต่ฉันก็คิดว่ายังมีคนอื่นๆ อีก คนที่สามารถพูดออกมาได้ แต่แค่ไม่อยากพูดมันออกมา เพราะพวกเขาไม่อยากเสียหน้าที่การงาน มีผู้หญิงอีกหลายคนที่ถูกกดดันไม่ให้ออกมาพูดเพราะพวกเธอจะโดนไล่ออกจากงาน ดังนั้น จากใจจริง ฉันต้องการออกมาพูดตั้งแต่แรก
..ถ้าไม่ถูกรั้งไว้ก่อน..
ฉันไม่ได้หมายความว่าฉันทำไม่ได้นะ แต่มีคนใกล้ชิดขอร้องฉันว่าอย่าทำแบบนี้ ฉันรู้ว่าพวกเขากังวลอะไร พวกเขาก็เฝ้ามองอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลสาธารณะคนอื่นๆ ที่ออกมาจากพูดก่อนหน้าฉัน และพวกเขาคิดว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย ฉะนั้น "อย่าทำมันเลย"
ดังนั้น ฉันเลยตกอยู่ในภาวะนั้นอีกครั้ง..
ภาวะสองจิตสองใจ ฉันเริ่มมีความกังวลอย่างมหาศาล ฉันเฝ้าดูผู้หญิงถูกปิดปากและตามล่า นายจ้างของพวกเธอถูกกดดันจากการเคลื่อนไหวที่ฉันเห็นชัดแล้วว่าเป็นเผด็จการอำนาจนิยม มากกว่าเสรีนิยม - ยิ่งไปกว่านั้น ฉันกังวลเกี่ยวกับเยาวชน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่หลงไหลและเห็นว่าหนังสือของฉันเป็นที่พักใจของพวกเขา คุณรู้ไหม มันคือความเห็นอกเห็นใจเพราะฉันก็เคยตกอยู่ในสถานะเดียวกับคนหนุ่มสาวพวกนั้นมาก่อน
แล้วฉันก็เริ่มตกอยู่ในความเครียด เหมือนกับตอนที่ฉันเตรียมจะทิ้งอดีตสามี ถึงแม้ว่าทางกายภาพ ฉันจะไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย แต่ฉันรู้สึกว่ากำลังโกหกตัวเองจากการเพิกเฉยต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ - ฉันควรพูดออกมาสิ สิ่งที่ถูกต้องคือการผลักให้ฉันโดดเข้าไปในวงการดีเบตนี้ ไม่ใช่มาบอกฉันว่าอย่าพูด แบบนี้ก็ไม่เท่ากับฉันกำลังถูกปิดปากอีกคนด้วยหรอกหรือ เผชิญหน้ากับมันสิ ไม่มีอะไรจะเสียซะหน่อย ใช่ไหม - นั่นคือสิทธิพิเศษเหรอ ผู้หญิงขาว แน่นอนสิ! ฉันได้รับการปกป้องในแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้อยู่แล้วนี่
แน่นอนถ้าฉันพูดออกไป ผู้คนบางส่วนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับฉัน แต่มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้อีก อะไรจะเกิดก็ให้เกิดไปเถอะ ถ้าพวกเขาตัดสินใจว่าฉันเป็นนังปิศาจแม่มดแล้วจะไม่ยอมซื้อหนังสือของฉันอีก ช่างเถอะ ยังไงฉันก็มีทรัพย์สินมากพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้วตอนนี้ ฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก โลกทั้งใบของฉันไม่ได้ล่มสลาย ลูกๆ ของฉันไม่ต้องอดอยาก ซึ่งฉันเคยอยู่ในภาวะนั้นมาก่อน คุณก็รู้อยู่ด้วยสวัสดิการของรัฐสัปดาห์ละ 2 ปอนด์ ดังนั้น นั่นล่ะ! - ฉันจึงพบว่าความเครียดในใจฉันพุ่งสูงมาก และฉันจะต้องพูดอะไรออกได้แล้ว
Megan : ก็คือคุณรู้สึกว่า ยังไงคุณก็ต้องพูดเรื่องนี้
JK : ใช่! ฉันรู้สึกว่าต้องทำ เพราะฉันก็ได้รับการติดต่อจากผู้หญิงหลายคน พวกเธอไม่ได้มาบอกฉันว่า "คุณต้องทำมันนะ ทำมันเลย" ไม่มีใครพยายามมากดดันฉัน เราแค่มานั่งคุยกัน แต่บทสนทนาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความหวาดกลัว นี่ต่างหากที่ทำให้ฉันกลัวมากกว่าการออกมาพูด นี่เรากำลังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเหรอ ผู้หญิงคนหนึ่งถูกคุกคามแค่เพราะเธอต้องการโต้แย้งว่า เธอมีสิทธิที่จะอธิบายชีวิตและร่างกายของเธอในแบบที่เธอเลือก นี่มันเป็นการลดทอนคุณค่าอย่างบ้าคลั่งมากๆ !
และอีกอย่าง ฉันก็มาถึงจุดที่พบว่าฉันไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าฉันยังเลือกที่จะเงียบไม่ออกมาพูดอะไร ดังนั้น มันก็เป็นเหตุผลส่วนตัวเช่นกัน ที่ฉันต้องทำมัน ใช่ ฉันต้องพูดออกมา - และฉันรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สนุกๆ มันจะต้องแย่มากแน่ๆ แต่ฉันก็เริ่มทนมองหน้าตัวเองในกระจกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าฉันยังจะเพิกเฉยต่อไปแบบนี้
ดังนั้น.. ฉันเลยตัดสินใจพูดออกมา
... จบ ตอนที่ 4 ...
ถอดบทสัมภาษณ์โดยเว็บไซต์ The Rowling Library
ติดตามเรื่องราวซีรีส์ The Witch Trials of J.K. Rowling ได้ทาง Podcast นี้
เรียบเรียงบทความโดยโดย Shootty แอดมินเพจพอตเตอร์ไดอารี่
หากนำบทความออกไปโปรดอ้างอิงเว็บไซต์และผู้เรียบเรียง
ติดตามกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/potterdiarythaifan